16 เมษายน 2568

วังชมภู ดินแดนที่ธรรมะยังมีลมหายใจ: ตำนานสามครูบาแห่งแผ่นดินเพชรบูรณ์

 


ชื่อของ “วังชมภู” คือหนึ่งในตำบลของอำเภอเมืองเพชรบูรณ์ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของตัวเมือง ถือเป็นพื้นที่สำคัญทางภูมิศาสตร์ของจังหวัด เพราะเป็นจุดศูนย์กลางการเดินทางที่เชื่อมเส้นทางหลักจากเพชรบูรณ์ไปยังจังหวัดพิจิตร และเส้นทางสู่กรุงเทพมหานคร แต่ใครเล่าจะรู้ว่า…ใต้พื้นดินแห่งนี้ มีเรื่องราวของ "สามครูบาอาจารย์" ที่เกี่ยวร้อยกันด้วยเส้นสายของธรรมะ และสืบทอดต่อกันโดยมิได้ตั้งใจ ที่น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นคือ…ในดินแดนผืนเดียวกันนี้ ได้มีพระอริยสงฆ์ถึงสองรูปที่ สังขารไม่เน่าเปื่อย ทั้งที่มรณภาพมาแล้วหลายสิบปี ราวกับธรรมะในจิตของท่านยังคงรักษารูปกายไว้ให้คนรุ่นหลังได้เห็น ธรรมะที่มีชีวิต


บรรพชนแห่งธรรม: หลวงพ่อทบ ธัมมปัญโญ

ชื่อของ “หลวงพ่อทบ” หรือ พระครูวิชิตพัชราจารย์ ธัมมปัญโญ แห่งวัดพระพุทธบาทชนแดน เป็นดั่งสัญลักษณ์แห่งพระกรรมฐานสายเพชรบูรณ์ ท่านเกิดเมื่อวันที่ 3 มี.ค. 2424 ที่บ้านยางหัวลม (ปัจจุบันคือ ต.วังชมภู) ต.นายม อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ บิดานำไปฝากให้ พระอาจารย์สี วัดช้างเผือก ต.วังชมภู อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ ให้บวชเป็นสามเณร ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมและวิทยาคมจนแตกฉาน เมื่ออายุครบ 21 ปีบริบูรณ์ เข้าพิธีอุปสมบทที่วัดศิลาโมง ต.นายม อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ มีพระครูเมือง เป็น พระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์ปาน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์สี เป็น พระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า ธัมมปัญโญ หมายถึง ผู้มีความรู้ใน พระธรรม หลังอุปสมบทกลับมาจำพรรษาอยู่ที่วัดช้างเผือก และศึกษาวิชาอาคมเพิ่มเติมจากพระอาจารย์สี พระอาจารย์ปาน และหลวงทศบรรณ ฆราวาสผู้มีอาคมแก่กล้า.นอกจากนี้ ยังได้ศึกษาวิปัสสนาจากพระครูเมืองจนเป็นที่เลื่องลือว่า “สามารถนั่งวิปัสสนาได้หลายวัน โดยไม่ฉันอาหารเลย”

ในขณะออกท่องธุดงค์ได้มีโอกาสพบกับหลวงพ่อเขียน ธัมมรักขิโต พระเกจิชื่อดังที่มีอายุและพรรษามากกว่า หลวงพ่อทบจึงเรียกขานหลวงพ่อเขียนว่า “หลวงพี่” ทุกครั้งไป ทั้งสองท่านเป็นสหายธรรมที่ใกล้ชิดกันมากที่สุด ออกธุดงค์ บำเพ็ญเพียร และเจริญภาวนาไปจนถึงนครเวียงจันทน์ สปป.ลาว กระทั่งเห็นว่าสมควรแก่เวลาที่จะกลับสู่มาตุภูมิ จึงมุ่งหน้าเข้าประเทศไทยทางจ.ตราด สู่วัดศิลาโมง ต.นายม อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ จากนั้นดำเนินการบูรณะวัดครั้งใหญ่ สร้างกุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ ขุดบ่อน้ำ ประการสำคัญคือ สร้างอุโบสถจนแล้วเสร็จสมบูรณ์ ใช้ประกอบศาสนกิจต่างๆ มาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังเป็นผู้นำในการก่อสร้างพระอุโบสถจนสำเร็จเรียบร้อยถึง 16 หลัง ทั้งยังวางศิลาฤกษ์หลังที่ 17 ไว้แล้วที่วัดช้างเผือก แต่มรณภาพเสียก่อน

หลวงพ่อทบเป็นพระที่เปี่ยมด้วยเมตตาและปฏิบัติเข้มงวด ท่านธุดงค์ไปตามป่าเขา สั่งสมพลังสมาธิและวิปัสสนากรรมฐานจนแก่กล้า ไม่เพียงเป็นที่เคารพของชาวบ้าน หากแต่พระเกจิทั่วประเทศก็ยังให้ความนับถือ เมื่อเข้าสู่วัยชรา ท่านพำนักที่ วัดช้างเผือก และเน้นการสอนธรรมะด้วย "ความสงบ" มากกว่าคำพูด ท่านละสังขารในปี พ.ศ. 2519 ด้วยอายุ 95 ปี หลังมรณภาพ คณะศิษยานุศิษย์ได้นำศพบรรจุไว้ในโลงแก้วตามคำสั่งสุดท้ายก่อนมรณภาพที่สั่งไว้ว่า “ห้ามนำร่างกายกูไปเผา ต่อไปในวันข้างหน้า ร่างกายนี้จะมีคุณประโยชน์ต่อวัด”คณะศิษย์ได้บรรจุสรีรสังขารไว้ในโลงแก้วภายในมณฑปวัดช้างเผือก ต.วังชมภู อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ แต่ละวันมีผู้คนเดินทางไปกราบสักการะทุกวันอย่างไม่ขาดสาย ถือเป็นพระเกจิชื่อดังที่มีคุณูปการต่อกิจการคณะสงฆ์ในจังหวัดเพชรบูรณ์เป็นอย่างมาก จนได้รับสมญา “เทพเจ้าแห่งลุ่มแม่น้ำป่าสัก”



สายธรรมแห่งพุทธภูมิ: จากหลวงพ่อทบ สู่หลวงปู่ชด ปิยธัมโม

หากหลวงพ่อทบคือเปลวไฟแห่งธรรม หลวงปู่ชดก็คือผู้แบกแสงนั้นเดินทางต่ออย่างไม่หวั่นไหว หลวงปู่ชด ปิยธัมโม ซึ่งหมายถึง ผู้มีความรักใคร่ในพระธรรม เป็นพระนักปฏิบัติผู้สมถะโดยแท้ มีนามเดิม ชด อยู่เจริญ เกิดเมื่อวันที่ 8 ..2448 ณ บ้านหัวสำโรง หมู่ที่ 7 .หัวสำโรง อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี สำเร็จการศึกษาระดับชั้นประถมปีที่ 4 โรงเรียนวัดหัวสำโรง เมื่ออายุ 22 ปี เข้าพิธีอุปสมบทครั้งแรกที่วัดพยัคฆาราม โดยมีพระครูสาย เป็นพระอุปัชฌาย์ ต่อมา บิดาถึงแก่กรรม ประกอบกับมารดามีอายุมาก ทำงานไม่ไหว จึงลาสิกขาออกมาช่วยทำงาน หาเลี้ยงน้องๆ และย้ายครอบครัวมาอยู่ที่บ้านห้วยกระเบียน ต.พิกุล อ.ชุมแสง จ.นครสวรรค์ ท่านเคยศึกษาอาคมจาก หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ในวัยหนุ่ม แต่ต่อมาได้พบว่าเส้นทางแห่งพุทธะไม่อาจอิงพึ่งไสยเวทได้ตลอด จึงหันเข้าสู่สายกรรมฐาน และเดินธุดงค์เข้าสู่เพชรบูรณ์ ในปี ..2500 ธุดงค์มายังถ้ำน้ำบัง ต.นายม อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ ญาติโยมเห็นว่าท่านเป็นพระปฏิบัติเคร่งครัดในพระธรรมวินัย ได้นิมนต์ให้ท่านไปจำพรรษาที่วัดเสาธงทอง ต.นายม ซึ่งขณะนั้นเป็นวัดร้าง ไม่มีพระอยู่จำพรรษา ขณะที่อยู่จำพรรษาที่วัดเสาธงทอง ท่านได้พบกับหลวงพ่อทบ ซึ่งจำพรรษาอยู่วัดช้างเผือก จึงได้ไปฝากตัวขอเป็นลูกศิษย์ เล่าเรียนวิทยาคมจากหลวงพ่อทบ มีความเชี่ยวชาญชำนาญในการทำตะกรุดโทนและพระกริ่ง

พ.ศ.2516 ชาวบ้านสามแยก วังชมภู ได้นิมนต์ให้ท่านมาช่วยก่อสร้างวัดซับข่อย ร่วมกับญาติโยมก่อสร้างศาลาการเปรียญ อุโบสถ และกุฏิจนเสร็จสมบูรณ์ ด้วยสังขารที่ร่วงโรย จึงหยุดเดินธุดงค์ตั้งแต่ปี 2527 เป็นต้นมา โดยอยู่จำพรรษาที่วัดซับข่อย และเมื่อวันที่ 29 ม.ค.2532 ท่านถึงแก่มรณภาพด้วยอาการที่สงบ ด้วยอายุ 83 ปีภายหลังท่านมรณภาพแล้ว บรรดาศิษยานุศิษย์ได้นำสังขารของท่านบรรจุไว้ในโลง เมื่อครบ 7 วัน ได้เปิดฝาโลงออกและสิ่งที่ทำให้ผู้คนอัศจรรย์ไม่แพ้ครูบาอาจารย์ของท่านคือ… สังขารของท่านไม่เน่าเปื่อย แม้ไม่ได้มีการฉีดสารใดๆ ทั้งสิ้น ปัจจุบันร่างของท่านประดิษฐานในโลงแก้ว ณ วัดซับข่อย เป็นจุดกราบไหว้ที่เต็มไปด้วยแรงศรัทธาไม่รู้จบ


หลวงพ่อบุญช่วย – ศิษย์แห่งสองครู

"หลวงพ่อบุญช่วย ฐานธัมโม" เจ้าอาวาสวัดวังทองเจริญธรรม ต.วังชมภู อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ เป็นอีกหนึ่งเสาหลักแห่งธรรมะในพื้นที่วังชมภู เกิดวันอังคารที่ 7 ปีเถาะ เดือนมิถุนายน 2470 อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ เข้าพิธีอุปสมบททดแทนคุณบุพการี ที่วัดเกาะแก้ว ต.นายม อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ มีหลวงพ่อทบ ธัมมปัญโญ เป็นพระอุปัชฌาย์ ด้วยทราบถึงกิตติศัพท์หลวงพ่อทบ วัดพระพุทธบาทชนแดน เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีประชาชนเคารพนับถือ จึงเกิดศรัทธา ฝากตัวเป็นลูกศิษย์อยู่รับใช้อุปัฏฐาก ด้วยความเมตตาหลวงพ่อทบจึงได้ถ่ายทอดสรรพวิชาคาถา การทำตะกรุดโทน ลงเลขยันต์คาถา ผ้ายันต์ และได้ศึกษาวิปัสสนากัมมัฏฐานและกำหนดจิต มีความรู้แก่กล้าตามลำดับ สามารถเสกข้าวสารให้ไก่กิน และศึกษาเรียนรู้ในการจัดสร้างพระกริ่งหล่อ ตามประเพณีโบราณ

อย่างไรก็ตาม ท่านบวชได้เพียงแค่ 1 พรรษา จำต้องลาสิกขาออกมาช่วยพ่อแม่ทำกสิกรรมหาเลี้ยงชีพ พร้อมกับแต่งงานในเวลาต่อมา มีบุตร 1 คน แต่ในจิตใจท่านยังคิดใฝ่เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ครั้นอยู่มาระยะหนึ่งภรรยาตั้งครรภ์อีก แต่ยังไม่ทันได้คลอดก็แท้งเสียก่อน เนื่องจากหกล้มและเสียชีวิตลงพร้อมกันทั้งแม่และลูก สร้างความเศร้าโศกให้เป็นอย่างมาก ในช่วงเวลาเดียวกัน วัดเสาธงทอง ต.นายม อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นวัดร้าง มีต้นไม้ใหญ่ปกคลุมดูน่ากลัว แต่สำหรับนักปฏิบัติธรรมแล้ว เป็นสถานที่เหมาะสมกับการบำเพ็ญเพียรยิ่ง ได้มีพระธุดงค์รูปหนึ่งธุดงค์ผ่านมาที่วัด เข้าพักอยู่กุฏิหลังหนึ่งที่ทรุดโทรม เมื่อทราบว่ามีพระมาอยู่วัดร้าง ท่านก็เข้าไปกราบและพูดคุยปรารภด้วย รู้สึกถูกจริตมาก จึงได้มาอุปัฏฐากรับใช้ทุกวัน เป็นเวลานานกว่า 2 ปี หลวงพ่อชด หรือพระครูวิบูลพัชรญาณ คือพระธุดงค์รูปนั้น หลวงพ่อชดได้เห็นอุปนิสัยของนายบุญช่วย ว่าเป็นผู้จริงจังมากกับการปฏิบัติระยะ 2 ปี ที่อุปัฏฐากอยู่จิตท่านสงบมาก กระทั่งหลวงพ่อชดเดินทางกลับไปที่จังหวัดพิจิตร โดยมีนายบุญช่วยติดตามไปด้วย ก่อนตัดสินใจขออุปสมบทอีกครั้งที่วัดดงเย็น ต.วังสำโรง อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร ทำหน้าที่ทั้งลูกศิษย์ และทั้งภิกษุผู้รับสืบธรรมไปในตัว ท่านซึมซับความเงียบ ความเรียบง่าย และความไม่ยึดติดไว้ทุกประการ เมื่ออายุครบ 60 ปี หลวงพ่อบุญช่วย เดินท่องธุดงค์ผ่านมาถึงหมู่บ้านวังทอง ต.วังชมภู อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ ในช่วงนั้นพื้นที่ ดังกล่าวเป็นพื้นที่สีแดง หลายต่อหลายครั้ง ฝ่ายผู้ก่อการร้ายคิดลอบสังหารท่าน ด้วยคิดว่าท่าน คือ สายลับของทางราชการ ส่วนฝ่ายทางราชการคิดว่าท่านเป็นพวก ผกค.เข้ามาเคลื่อนไหว แต่ด้วยขันติธรรมและเมตตาธรรม ท่านจึงสามารถชนะจิตใจของทั้ง 2 ฝ่าย โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อรวมทั้งในเวลาต่อมาได้เริ่มก่อสร้างวัดวังทองเจริญธรรม ที่มีความร่มเย็น เป็นศาสนสถานเหมาะสำหรับการปฏิบัติธรรม

หลวงพ่อบุญช่วย ฐานธัมโม ได้ละสังขารด้วยอาการอันสงบที่โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ เมื่อเวลา 02.05 น.วันที่ 11 ส.ค.67 สิริอายุ 97 ปี 2 เดือน 4 วัน พรรษา 64


 สามเสาหลักแห่งธรรม ในแผ่นดินเดียวกัน


ไม่มีใครคาดคิดว่า วังชมภู จะกลายเป็นพื้นที่ที่มีพระอริยสงฆ์สามรูปผู้เกี่ยวข้องกันอย่างลึกซึ้งมาบรรจบกันที่นี่ — ทั้งหลวงพ่อทบผู้เป็นครู หลวงปู่ชดผู้เป็นศิษย์ และหลวงพ่อบุญช่วยผู้เป็นศิษย์ของทั้งสอง แม้เวลาจะผ่านไปหลายสิบปี ร่างของหลวงพ่อทบและหลวงปู่ชดยังคง ไม่เน่าเปื่อย เป็นดั่งคำตอบเงียบ ๆ ว่า "ธรรมะที่แท้จริง ไม่มีวันเสื่อมสูญ" ตราบเท่าที่ยังมีผู้ปฏิบัติตาม วังชมภู จึงมิใช่เพียงตำบลหนึ่งในเพชรบูรณ์ หากแต่คือ "ผืนดินแห่งศรัทธา" ที่ธรรมะยังมีลมหายใจ — มีเสียงเรียกจากความเงียบ มีแสงจากความสงบ และมีทางให้เราเดินตาม

 

 "แดนธรรมของพระสุปฏิปันโน"

 

หลวงพ่อทบ ดับขันธ์ไม่ดับธรรม         ร่างยังงาม เงียบงำแต่ยิ่งใหญ่

                    หลวงปู่ชด ศิษย์แท้แน่วแน่ใจ              ตามทางธรรมครูไว้ไม่คลอนคลาย

 บุญช่วยศิษย์จิตซื่อต่อสององค์          อยู่ปรนนิบัติมั่นคงด้วยใจหมาย
วังชมภูแดนบุญอันพร่างพราย          คือทางสายพระแท้แต่โบราณ

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ข่าวเด่น

เปิดประสบการณ์เหนือจินตนาการ ขับเคลื่อนความทรงจำ คาราวานตามรอยตำนาน 17 จังหวัดภาคเหนือ

กลางเดือนมิถุนายน 2568 ท่ามกลางม่านฝนบางเบาที่โปรยปรายเหนือผืนแผ่นดินล้านนา เสียงเครื่องยนต์ของขบวนรถยนต์หลากหลายคันเริ่มกระหึ่มขึ้นพร้อมกัน...