กลางผืนแผ่นดินไทย หากใครสักคนเคยเดินทางผ่านเพชรบูรณ์ เมืองเล็ก ๆ ที่โอบล้อมด้วยขุนเขาและสายหมอก ย่อมสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันเงียบสงบและงดงาม จนยากจะเชื่อว่า ณ ดินแดนแห่งนี้ เคยมีความฝันยิ่งใหญ่ของการเป็น "เมืองหลวงของประเทศ" ซ่อนอยู่
ย้อนกลับไปในช่วงเวลาท้าทายของชาติไทย — สงครามโลกครั้งที่ 2 — ผู้นำสูงสุดของประเทศในขณะนั้น คือ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้วางแผนย้ายเมืองหลวงจากกรุงเทพฯ มาตั้งที่ เพชรบูรณ์ ภายใต้ชื่อใหม่ว่า "นครบาลเพ็ชรบูรณ์" ความฝันนี้ไม่ได้เป็นแค่เพียงแผนการในกระดาษ แต่ได้เริ่มลงมือทำจริงอย่างเป็นรูปธรรม
“เพชรบูรณ์มีชัยภูมิเหมาะสม มีภูเขาล้อมรอบ มีเส้นทางคมนาคมเข้าออกเพียงทางเดียว อากาศดี อยู่ตรงกลางของประเทศ เป็นศูนย์กลางภาคเหนือกับภาคอีสานและกรุงเทพฯ”
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ เมืองกลางหุบเขาแห่งนี้จึงกลายเป็นเป้าหมายใหม่ของอนาคตประเทศ สะท้อนถึงยุทธศาสตร์การเอาตัวรอดในยามที่สงครามกำลังก่อตัวรายรอบ
การอพยพครั้งใหญ่: “คนเกณฑ์” ผู้สร้างเมืองในฝัน
เพื่อปูทางสู่มหานครแห่งใหม่ รัฐบาลได้เกณฑ์แรงงานจาก 29 จังหวัดทั่วประเทศ นับแสนชีวิตถูกเคลื่อนย้ายมายังเพชรบูรณ์ ถูกเรียกขานในภายหลังว่า “คนเกณฑ์” พวกเขาเหล่านี้คือรากฐานของการสร้างถนน อาคารชั่วคราว และพื้นที่เกษตรกรรมเพื่อเลี้ยงเมืองที่กำลังเติบโต
แม้จะเป็นการอพยพด้วยคำสั่ง แต่ในอีกแง่หนึ่ง มันคือจุดเริ่มต้นของชุมชนใหม่ ลูกหลานคนเกณฑ์เหล่านั้น ปัจจุบันคือชาวเพชรบูรณ์อย่างเต็มตัว สะท้อนถึงประวัติศาสตร์ที่ยังคงมีชีวิตอยู่ในเนื้อดินและผู้คน
จากถ้ำฤๅษีถึงเสาหลักเมือง
หนึ่งในเหตุการณ์ที่น่าจดจำที่สุด คือการอัญเชิญ พระแก้วมรกต และทรัพย์สมบัติของชาติ มาซ่อนยัง “ถ้ำฤๅษี” ในตำบลบุ่งน้ำเต้า กระทรวงการคลังได้ใช้ที่นี่เป็นคลังหลวงสำรอง และวางผังเมืองเพื่อตั้ง “พระราชวัง สนามหลวง” ขึ้นจำลองจากกรุงเทพฯ ไม่ไกลจากนั้น ในวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2487 ได้มีการตั้ง เสาหลักเมืองนครบาล ขึ้นอย่างเป็นทางการ ณ บ้านบุ่งน้ำเต้า — เหมือนเป็นการประกาศความฝันต่อเทพยดาแห่งแผ่นดิน
เมืองที่เกือบจะเกิด: เส้นทาง ถนน และวัฒนธรรมใหม่
แม้การก่อสร้างจะหยุดชะงักเมื่อสงครามใกล้สิ้นสุด แต่ร่องรอยของ “นครบาลเพ็ชรบูรณ์” ยังคงชัดเจน — ถนนอย่าง สามัคคีชัย, ชัยวิบูล, บุรกรรมโกวิท ที่ยังใช้สัญจรกันอยู่จนทุกวันนี้ คือมรดกที่บ่งบอกถึงแผนผังที่เคยถูกวางไว้ในอดีต เมืองเพชรบูรณ์ในยุคนั้นยังได้สัมผัสความทันสมัยอย่างรวดเร็ว มีโรงหนัง “ไทยเพ็ชรบูล” หนังสือพิมพ์ “เพชรบูลชัย” มีสโมสร เต้นรำรำโทน มีไฟฟ้า โทรศัพท์ และวิถีค้าขายกับราชการ ทำให้เศรษฐกิจคึกคักเกินเมืองชนบททั่วไปหลายเท่าตัว
บทสรุปแห่งความฝันที่ไม่สมบูรณ์
ในวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2487 จอมพล ป. ได้นำเสนอ พระราชกำหนดระเบียบราชการบริหารนครบาลเพ็ชรบูรณ์ ต่อรัฐสภาเพื่อให้มีผลถาวร แต่สุดท้ายด้วยเสียงโหวต 48 ต่อ 36 — ความฝันเมืองหลวงกลางขุนเขาต้องพับเก็บ เหตุผลสำคัญคือ “เพชรบูรณ์เป็นแดนกันดาร ภูมิประเทศเป็นป่าเขา และมีไข้ชุกชุม” แรงงานหลายพันล้มตายจากสภาพแวดล้อมและการทำงานหนัก เป็นราคาของความฝันที่แพงเกินไปในสายตาหลายฝ่าย
“เมื่อสมัยจอมพล ป. มาตั้งเพชรบูรณ์เป็นเมืองหลวง…”
วลีนี้ยังคงถูกกล่าวถึงในวงสนทนาใต้ถุนบ้านของคนรุ่นเก่าในเพชรบูรณ์ เมื่อย้อนรำลึกถึงยุคที่เมืองของพวกเขาเคยถูกวางไว้เป็นหัวใจของชาติ แม้วันนี้นครบาลเพ็ชรบูรณ์จะเหลือเพียงเสาหลักเมืองและความทรงจำ แต่เรื่องเล่านี้ยังคงเป็นเสน่ห์ที่บ่งบอกถึงตัวตนของเมืองเล็ก ๆ กลางขุนเขาแห่งนี้ได้อย่างภาคภูมิ
"เพชรบูรณ์อาจไม่เคยเป็นเมืองหลวงของประเทศ แต่ก็เคยเป็นเมืองหลวงในความฝันของทั้งชาติ"
บันทึกไว้โดยลมหายใจของอดีต ที่ยังไม่จางหายไปจากใจผู้คน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น