กลางเดือนมิถุนายน 2568 ท่ามกลางม่านฝนบางเบาที่โปรยปรายเหนือผืนแผ่นดินล้านนา เสียงเครื่องยนต์ของขบวนรถยนต์หลากหลายคันเริ่มกระหึ่มขึ้นพร้อมกันโดยนำสื่อมวลชนและผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวมุ่งหน้าสู่จังหวัดอุทัยธาน๊ เพื่อเริ่มต้นกิจกรรม “คาราวานตามรอยตำนาน 17 จังหวัดภาคเหนือ”— โครงการใหญ่โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และสื่อมวลชน จุดหมายไม่ใช่เพียงแค่ “การเดินทาง” หากแต่เป็น “การสัมผัสเรื่องเล่าแห่งตำนาน” บนเส้นทางวัฒนธรรมและมรดกโลก ที่ทอดผ่านภูเขา แม่น้ำ เมืองโบราณ และหมู่บ้านกลางหุบเขา เพื่อส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ศักยภาพการท่องเที่ยวภาคเหนือของประเทศไทย และส่งเสริมให้เกิดการกระจายตัวการเดินทางท่องเที่ยวจากเมืองหลักสู่เมืองน่าเที่ยว ผ่านการท่องเที่ยวในรูปแบบการขับรถ (self-drive) ซึ่งกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในหมู่นักท่องเที่ยว โดยใช้ชีวิตในการเดินทางตั้งแต่วันที่ 21-26 มิถุนายน 2568
ตอนที่ 1 จาก “พระชนกจักรี” แห่งอุทัยธานี สู่ “กรุพระเครื่อง” แห่งกำแพงเพชร
เส้นทางแรกเริ่มขึ้นที่ จังหวัดอุทัยธานี เมืองที่แม้ไม่ใหญ่โต แต่กลับซ่อนมนต์เสน่ห์แห่งความสงบและวัฒนธรรมไว้เต็มเปี่ยม คณะคาราวานของ ททท.ได้เดินเที่ยวชม ตรอกโรงยา อุทัยธานี หรืออีกชื่อว่า “ถนนคนเดินตรอกโรงยา” เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่น่าสนใจในใจกลางเมืองอุทัยธานี ครั้งหนึ่งตรอกแห่งนี้เป็นชุมชนชาวจีนที่ถูกกฎหมายให้สูบฝิ่น จึงเป็นที่มาของชื่อ “โรงยา” ที่สะท้อนถึงความคลาคล่ำและความคึกคักในอดีต ในปี 2500 รัฐบาลสั่งแบนฝิ่น ทำให้ตรอกซบเซา ก่อนกลับมามีชีวิตอีกครั้งในปี 2553 เมื่อชุมชนร่วมมือกับสำนักงานการท่องเที่ยว จัด “ถนนคนเดิน” เพื่อฟื้นฟูชุมชนโบราณ ในถนนคนเดินตรอกโรงยา ประกอบด้วยบ้านเรือนไม้เก่าในตรอกถูกปรับปรุงเป็นร้านค้าคาเฟ่และแกลอรี เครื่องดื่ม-ขนมไทยพื้นบ้านขายโดยชาวบ้านอุทัยธานีเองเพื่อกระจายรายได้ในชุมชน มี พิพิธภัณฑ์โรงยาฝิ่นจำลอง พร้อมกับอาสาสมัครท้องถิ่นคอยเล่าประวัติและให้ความรู้แก่ผู้มาเยือน
จุดแวะสำคัญคือ วัดสังกัสรัตนคีรี บนยอดเขาสะแกกรัง ซึ่งเป็นสถานที่ประกอบพิธีเทโวโรหณะอันโด่งดังของประเทศ ภายในวัดประดิษฐาน “หลวงพ่อพุทธมงคลศักดิ์สิทธิ์” องค์พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง ผู้ร่วมคาราวานได้ร่วมทำบุญและชมวิวแม่น้ำสะแกกรังที่ไหลทอดยาวใต้เขา ชวนให้หวนคิดถึงอดีตกาลอันเงียบสงบ
ถัดมาเพียงไม่กี่ร้อยกิโลเมตร ขบวนคาราวานเข้าสู่กำแพงเพชร—เมืองเก่าแก่ที่ได้รับการยกย่องให้เป็น “นครมรดกโลก” ร่วมกับสุโขทัย ไฮไลต์สำคัญคือการเดินทางไป อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ชมกำแพงเมืองเก่าและวัดมหาธาตุที่ยังคงความงดงามของศิลปกรรมศิลาแลงอายุนับร้อยปี ที่นี่ผู้ร่วมคาราวานยังได้กราบสักการะ พระบรมธาตุนครชุม พระอารามหลวงที่มี “พระซุ้มกอ” อันศักดิ์สิทธิ์ และมีโอกาสรับฟังประวัติศาสตร์ของพระยาลิไท ผู้ครองนครแห่งนี้ในอดีต
พระซุ้มกอเป็นพระเครื่องศิลปะสุโขทัยผสมลังกา เชื่อกันว่า สร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 19–20 โดยพระสงฆ์ในสมัยนั้นได้จำพรรษาและสร้างพระเครื่องขึ้นบริเวณ “เมืองกำแพงเพชรโบราณ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่วัดพระบรมธาตุ วัดพระแก้ว และวัดซุ้มกอ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาในยุคนั้น คำว่า “ซุ้มกอ” นั้นมาจากรูปทรงขององค์พระซึ่งมีซุ้มโค้งเป็นเอกลักษณ์คล้ายซุ้มเรือนแก้ว (หรือซุ้มโพธิ์) ที่ห่อหุ้มองค์พระไว้ เปรียบเสมือนพระประธานในอุโบสถ พระซุ้มกอได้รับการยกย่องจากครูบาอาจารย์และนักเลงพระในอดีตว่า โดดเด่นในด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาด คงกระพันชาตรี และโภคทรัพย์ โดยเฉพาะวลีที่ว่า
"พระซุ้มกอ เมืองกำแพงเพชร ใครมีไว้ในครอบครอง ไม่มีวันตกต่ำ"
ยังเป็นคำกล่าวที่ยืนยันถึงคุณค่าทั้งด้านจิตใจและประสบการณ์ของผู้ศรัทธามานับร้อยปี
ตอนที่ 2 สู่เมืองชายแดนแห่งพระเจ้าตาก -เมืองตาก ดินแดนบุรุษกล้า ธรรมชาติงาม
เมื่อเข้าสู่ จังหวัดตากเมืองชายแดนที่มีทั้งความลึกซึ้งทางประวัติศาสตร์และธรรมชาติที่ยังบริสุทธิ์ คาราวานแวะที่ วัดดอยข่อยเขาแก้ว หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า วัดพระเจ้าตากสินมหาราช ตั้งอยู่บนเนินเล็ก ๆ ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำปิง ในตำบลแม่ท้อ อำเภอเมืองจังหวัดตาก จุดศูนย์กลางในการรำลึกถึงพระมหากษัตริย์ผู้กอบกู้เอกราชไทย หลังสักการะพระบรมรูปแล้ว ยังมีพิธีถวายผ้าไตรจีวรและผ้าป่าร่วมกัน เพื่ออุทิศบุญกุศลแด่บูรพกษัตริย์และชมการแสดงขี่ม้าฟันดาบริมโบสถ์ สื่อถึงยุคกอบกู้เอกราช ตามประวัติศาสตร์ในปี พ.ศ. 2302 ขณะเสด็จทรงดำรงตำแหน่ง “พระยาตาก” ทรงทำพิธีเสี่ยงบารมี ณ วัดดอยข่อยเขาแก้ว โดยหยิบไม้เคาะระฆังขว้างใส่ถ้วยแก้วที่ตั้งห่างออกไปประมาณ 5 วา (5 เมตร) แล้วไม้กลับพุ่งตัดแก้วออกเป็นสองส่วน โดยที่แก้วไม่แตกสลาย ถือเป็นสัญลักษณ์บารมีอันยิ่งใหญ่ จากนั้น ทรงนำชิ้นแก้วนั้นไปประดับยอดเจดีย์วัดดอยข่อยเขาแก้ว และสบทบอีกลูกไว้ที่ยอดเจดีย์วัดกลางสวนดอกไม้ แต่สองลูกนี้ได้หายไปในเวลาต่อมา เช่นกัน
ช่วงเย็นผู้ร่วมคาราวานร่วมเดินเล่นบน สะพานแขวนสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี สะพานไม้ที่ทอดยาวข้ามแม่น้ำปิง สะพานกว้างประมาณ 2.5 เมตร ยาวราว 700 เมตร ติดตั้งฐานรากและเสาคอนกรีต 5 จุด พื้นไม้โยง ยึดด้วยลวดสลิงขนาดใหญ่ ปัจจุบันเปิดเฉพาะสำหรับการเดินเท้า (และจักรยาน) เพื่อชมวิวแม่น้ำปิง โดยช่วงเย็น–ค่ำจะมีการประดับไฟสวยงาม เพิ่มความโรแมนติกและมีเสน่ห์ยามแสงหมดวัน ซึ่งกลายเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของตากในปัจจุบัน แสงไฟที่ประดับสะพานยามค่ำคืนสะท้อนผิวน้ำ ราวกับร้อยเรียงอดีตกับปัจจุบันเข้าด้วยกันอย่างลงตัว
ตอนที่ 3 ลำปาง: เสน่ห์ล้านนาในกาลเวลา
ท่ามกลางขุนเขาแห่งลุ่มน้ำวัง เมืองลำปางยังคงรักษาเอกลักษณ์ล้านนาไว้อย่างงดงาม หนึ่งในบทเดินทางของคณะเราวันนี้ เริ่มต้นจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ถือเป็นหัวใจของเมือง—วัดพระธาตุลำปางหลวง วัดเก่าแก่ที่ตั้งตระหง่านมานานกว่าพันปี เป็นเสมือนบันทึกประวัติศาสตร์ที่ยังมีชีวิต
🛕 วัดพระธาตุลำปางหลวง: จิตวิญญาณล้านนา
เมื่อก้าวผ่านซุ้มประตูโค้งแบบล้านนาที่งดงามเข้าสู่ลานวัด สิ่งแรกที่สะดุดตาคือ พระวิหารหลวง อันเป็นที่ประดิษฐานของ พระเจ้าล้านทอง พระพุทธรูปสำริดองค์ใหญ่ที่มีศิลปะละเมียดละไมสมกับชื่อ "ล้านทอง" ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นหนึ่งในพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของภาคเหนือ
ด้านหน้าเป็นที่ประดิษฐานของ พระเจ้าทันใจ พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองอีกองค์หนึ่งที่มีผู้คนมากราบไหว้และขอพรอย่างเนืองแน่น โดยเฉพาะผู้ศรัทธาที่เชื่อว่า คำขอจะสมปรารถนาได้ในเวลาอันรวดเร็ว
บริเวณด้านในของวิหาร ยังมี ภาพจิตรกรรมฝาผนังโบราณ ที่ถูกทำนุบำรุงไว้อย่างดี ภาพเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงศิลปะ แต่ยังเป็นเรื่องเล่า แฝงไว้ด้วยคติธรรม และวิถีชีวิตชาวล้านนาในอดีต ซึ่งเรายังได้รับฟังการบรรยายอย่างละเอียดจากวิทยากรท้องถิ่น ที่เล่าอย่างมีชีวิตชีวาในพื้นที่วิหารด้านบน
🛕 พระธาตุกลับหัว - พระแก้วดอนเต้า: แรงศรัทธาที่ไม่มีวันหันหลัง
จากวัดพระธาตุลำปางหลวง คณะเดินทางต่อไปยัง พระธาตุกลับหัว วัดเล็ก ๆ ที่แฝงตำนานน่าค้นหา เรื่องเล่ากล่าวว่า องค์พระธาตุแห่งนี้สะท้อนกลับหัวในภาพถ่ายโดยไม่ทราบสาเหตุ กลายเป็นความอัศจรรย์ทางศรัทธาที่หลายคนมาสัมผัสด้วยตาตนเอง
ถัดไปไม่ไกลคือ วัดพระแก้วดอนเต้า อีกหนึ่งวัดเก่าแก่ที่เคยเป็นที่ประดิษฐาน พระแก้วมรกต ก่อนจะถูกอัญเชิญไปยังเชียงรายและต่อมาไปประดิษฐาน ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพฯ ปัจจุบันวัดแห่งนี้ยังคงเงียบสงบ ร่มเย็น และเปี่ยมไปด้วยบรรยากาศของศรัทธาอันเรียบง่าย
🐎 รถม้าลำปาง: วิถีเมืองที่ยังไม่เร่งรีบ
ช่วงบ่ายของวัน เราย้อนเวลากลับไปในยุคลำปางรุ่งเรือง ด้วยการ นั่งรถม้า เที่ยวชมตัวเมืองเก่า รถม้าค่อยๆ เคลื่อนผ่านวัดวาอาราม บ้านไม้เก่า และอาคารสไตล์ยุโรปที่เคยเป็นศูนย์ราชการในยุคต้นรัตนโกสินทร์
เสียงล้อกระทบถนนหินคลุก บรรยากาศร่มรื่นของเมืองเล็กแสนสงบ ชวนให้จิตใจผ่อนคลายระหว่างทางที่ผ่าน วัดปงสนุก วัดหลวงพ่อเกษม สุสานฝรั่งโบราณ และสะพานรัษฎาภิเศก—สะพานขาวเก่าแก่ที่เป็นจุดถ่ายภาพยอดนิยม
ตอนที่ 4 ตามรอยธรรม นักบุญแห่งล้านนา
เมื่อคาราวาน "ตามรอยตำนาน 17 จังหวัดภาคเหนือ" เคลื่อนตัวออกจากจังหวัดลำปางในยามเช้าของวันที่ 24 มิถุนายน 2568 จุดหมายปลายทางคือ วัดพระธาตุหริภุญชัย วรมหาวิหาร จังหวัดลำพูน — หนึ่งในศูนย์กลางทางศาสนาและจิตวิญญาณของชาวล้านนา
🛕 วัดพระธาตุหริภุญชัย วรมหาวิหาร — มนต์เสน่ห์แห่งอาณาจักรหริภุญไชย
ตั้งอยู่ใจกลางเมืองลำพูน วัดแห่งนี้คือหนึ่งในพระธาตุประจำปีเกิดของผู้ที่เกิดปีระกา (ไก่) และเป็นศาสนสถานที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานเกือบพันปี ย้อนไปถึงยุคของพระนางจามเทวี กษัตริย์หญิงผู้ก่อตั้งนครหริภุญไชย
เมื่อคณะคาราวานมาถึง ได้รับฟังบรรยายจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ซึ่งได้เล่าถึง ความโดดเด่นของสถาปัตยกรรม ที่หลอมรวมวัฒนธรรมหลายชาติพันธุ์ อาทิ มอญ พม่า ไทย และล้านนา โดดเด่นด้วยพระเจดีย์ทรงมอญ สีทองอร่ามสูง 46 เมตร ซึ่งบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ภายใน
ในมุมหนึ่งของวัด ยังมีร่องรอยการบูรณะและเสริมสร้างโดย ครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนา ผู้มีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในภาคเหนือ ชาวคาราวานได้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเดินชมสถาปัตยกรรมโบราณ อาทิ วิหารหลวง และ หอธรรมโบราณ
ตอนที่ 5 จากลำพูนสู่ปาย — เส้นทางสายโค้งงาม
หลังจากอิ่มบุญกันที่ลำพูน คาราวานได้เดินทางผ่าน อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ก่อนจะเลี้ยวเข้าสู่เส้นทางโค้งสู่ อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน เส้นทางนี้ถือว่าเป็นหนึ่งใน ไฮไลต์ของการเดินทางทางรถยนต์ ด้วยโค้งกว่า 762 โค้ง และภูมิประเทศแบบภูเขาสลับซับซ้อน ทว่าภาพของ ป่าไม้เขียวขจี น้ำตกริมทาง และสายหมอกบางๆ กลับทำให้ทุกวินาทีของการเดินทางเต็มไปด้วยความสุข
🕍 วัดน้ำฮู — ศรัทธาแห่งประวัติศาสตร์
จุดหมายแรกของปายคือ วัดน้ำฮู วัดเก่าแก่ที่เปี่ยมด้วยตำนานและความเชื่อ วัดนี้เป็นที่ประดิษฐานของ พระอุ่นเมือง พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่กล่าวกันว่า "มีน้ำไหลออกจากเศียร" ตลอดปี ซึ่งเป็นที่ศรัทธาของชาวบ้านและนักท่องเที่ยวอย่างสูง
ที่นี่ยังเชื่อมโยงกับตำนาน สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และ พระนางสุพรรณกัลยา ซึ่งว่ากันว่าทรงเสด็จมาประทับแรมที่เมืองปายก่อนศึกยุทธหัตถี นอกจากนี้ ยังมีห้องอนุสรณ์ที่จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้และเรื่องราวของ ครูบาศรีวิชัย ผู้เคยมาปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งนี้
🏨 Peacock De Pai Hotel & ถนนคนเดิน
หลังจากเข้าที่พัก ณ Peacock De Pai Hotel และงานเลี้ยงต้อนรับจากนั้นทุกคนได้ร่วมเดินชม ถนนคนเดินปาย ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา กลิ่นอาหารหอมกรุ่นจากร้านรวงนับร้อย ร้านกาแฟเปิดไฟนวล ร้านแฮนด์เมดจากชาวเขา นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติร่วมเดินอย่างคึกคัก
ตอนที่ 6: เชียงใหม่ — แสงศรัทธาใต้ร่มเงาเจ้าดารารัศมี
สถานที่แรกที่คณะคาราวานแวะพักรับประทานอาหารกลางวันในจังหวัดเชียงใหม่ — ที่นี่ไม่เพียงแค่เสิร์ฟอาหารเหนือรสแท้ แต่ยังเป็นพื้นที่เชิงวัฒนธรรมที่ตกแต่งแบบเรือนไม้ล้านนาโบราณ มุมถ่ายรูปทุกจุดสะท้อนรากเหง้าของภูมิปัญญาท้องถิ่น
🛕 วัดป่าดาราภิรมย์ — ธรรมสถานแห่งพระราชชายา
หลังอาหาร คณะคาราวานเดินทางสู่แหล่งท่องเที่ยวสายจิตวิญญาณและประวัติศาสตร์ คือ “วัดป่าดาราภิรมย์” ในอำเภอแม่ริม หนึ่งในวัดป่าที่เงียบสงบ สง่างาม และเปี่ยมด้วยพลังของศรัทธา วัดแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2484 และมีจุดเริ่มต้นจากการที่ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้จาริกธุดงค์มาพำนักภาวนาในพื้นที่ที่เคยเป็นป่าช้าใกล้สวนเจ้าสบาย ซึ่งอยู่ภายในพระราชฐานของ เจ้าดารารัศมี พระราชชายาในรัชกาลที่ 5
ต่อมาเมื่อชาวบ้านเกิดศรัทธา จึงร่วมแรงร่วมใจกันสร้างเป็นวัด และได้รับพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดป่าดาราภิรมย์” เพื่อถวายพระเกียรติแด่เจ้าดารารัศมี
✨ จุดน่าสนใจในวัด:
-
พระเจดีย์ดารารัศมี เจดีย์ทรงล้านนาอ่อนช้อย สีขาวงามตา สะท้อนถึงความสง่างามของเจ้านายฝ่ายเหนือ
-
ศาลาไม้เก่าริมสวนป่า สถานที่ปฏิบัติธรรมอันเงียบสงบ เหมาะกับการเจริญสติ
-
พระอุโบสถประดิษฐานพระประธาน และจิตรกรรมฝาผนังเล่าเรื่องธรรมะอย่างละเมียดละไม
-
หลวงพ่อทองคำ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำวัด
นอกจากความงดงามทางศิลปะแล้ว วัดแห่งนี้ยังมีบรรยากาศร่มรื่น เย็นสบาย ด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยที่ถูกดูแลอย่างดีราวสวนหลวง ไม่แปลกที่วัดป่าดาราภิรมย์จะเป็นหนึ่งในสถานที่ปฏิบัติธรรมที่ชาวเชียงใหม่และนักท่องเที่ยวสายบุญนิยมมากที่สุด
Grand Moment แห่งการเดินทาง: ไม่ใช่แค่สถานที่ แต่คือความหมาย
กิจกรรมคาราวานในครั้งนี้ ไม่ได้มุ่งแค่การเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวเท่านั้น แต่เน้น “การเล่าเรื่อง” ผ่านแนวคิด Grand Moment ที่แยกออกเป็น 3 มิติหลัก ได้แก่:
-
Grand Experience ขับรถผ่านเส้นทางคดเคี้ยวของภูเขา ชมทิวทัศน์ที่เปลี่ยนไปในทุกกิโลเมตร และสัมผัสธรรมชาติที่ยังบริสุทธิ์ของภาคเหนือ
-
Grand Destination เยี่ยมชมแหล่งมรดกโลก วัดวาอาราม และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ พร้อมรับฟังเรื่องเล่าที่เปี่ยมไปด้วยตำนานและศรัทธา
Grand Delight ลิ้มรสอาหารพื้นเมือง เช่น ข้าวซอยเมืองลำปาง ปลาแรดจากอุทัยธานี กล้วยไข่จากกำแพงเพชร พร้อมเลือกซื้อของฝากงานฝีมือพื้นบ้าน
โครงการคาราวานท่องเที่ยวตามรอยตำนาน 17 จังหวัดภาคเหนือในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวในภูมิภาค แต่ยังเป็นการเชื่อมโยงวัฒนธรรม ตำนาน และประวัติศาสตร์ ให้กับนักท่องเที่ยวได้สัมผัสอย่างใกล้ชิดตลอดเส้นทาง ตลอดระยะเวลากว่าสัปดาห์ของการเดินทางจากดินแดนพระชนกจักรีแห่งอุทัยธานีสู่นครพิงค์เมืองเชียงใหม่ คาราวาน “ตามรอยตำนาน 17 จังหวัดภาคเหนือ”ไม่ใช่แค่การท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อน แต่มันคือ “การเดินทางกลับไปหาตัวตนของแผ่นดิน”ผ่านถนนสายโค้งคดเคี้ยว ผ่านภูเขาสลับซับซ้อน ผ่านชุมชนที่ยังยิ้มได้แม้โลกหมุนเร็วผ่านวัดโบราณที่แฝงเรื่องเล่าหลายร้อยปี
คาราวานตามรอยตำนาน 17 จังหวัดภาคเหนือ
จึงไม่ได้เพียงขับรถไปในพื้นที่
แต่ได้ “ขับเคลื่อนความทรงจำ” ของภูมิภาคทั้งภูมิภาค
และสร้างแรงบันดาลใจใหม่ว่าการท่องเที่ยว…จะมีความหมายที่สุด
เมื่อมัน “เชื่อมใจคน เข้ากับเรื่องราวของแผ่นดิน”
เราอาจลืมว่าตัวเองเป็นใครในโลกที่หมุนเร็ว...
แต่เมื่อได้กลับมาเดินบนเส้นทางแห่งศรัทธาเหล่านี้อีกครั้ง
เราก็จะจำได้ว่า เราเคยยืนอยู่ตรงไหนของผืนแผ่นดินนี้
- บันทึกความทรงจำ โดย วิริทธิ์พล หิรัญรัตน์
ภาพเล่าเรื่องโดย ขุนพล ทัพอโยธยา/ นที บุญรอด
สื่อสารข้อมูล โดย ทีมเครือข่ายสื่อมวลชน จ.เพชรบูรณ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น