26 มิถุนายน 2568

เปิดประสบการณ์เหนือจินตนาการ ขับเคลื่อนความทรงจำ คาราวานตามรอยตำนาน 17 จังหวัดภาคเหนือ

กลางเดือนมิถุนายน 2568 ท่ามกลางม่านฝนบางเบาที่โปรยปรายเหนือผืนแผ่นดินล้านนา เสียงเครื่องยนต์ของขบวนรถยนต์หลากหลายคันเริ่มกระหึ่มขึ้นพร้อมกันโดยนำสื่อมวลชนและผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวมุ่งหน้าสู่จังหวัดอุทัยธาน๊ เพื่อเริ่มต้นกิจกรรม “คาราวานตามรอยตำนาน 17 จังหวัดภาคเหนือ”— โครงการใหญ่โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และสื่อมวลชน จุดหมายไม่ใช่เพียงแค่ “การเดินทาง” หากแต่เป็น “การสัมผัสเรื่องเล่าแห่งตำนาน” บนเส้นทางวัฒนธรรมและมรดกโลก ที่ทอดผ่านภูเขา แม่น้ำ เมืองโบราณ และหมู่บ้านกลางหุบเขา เพื่อส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ศักยภาพการท่องเที่ยวภาคเหนือของประเทศไทย และส่งเสริมให้เกิดการกระจายตัวการเดินทางท่องเที่ยวจากเมืองหลักสู่เมืองน่าเที่ยว ผ่านการท่องเที่ยวในรูปแบบการขับรถ (self-drive) ซึ่งกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในหมู่นักท่องเที่ยว โดยใช้ชีวิตในการเดินทางตั้งแต่วันที่ 21-26 มิถุนายน 2568


ตอนที่ 1 จาก “พระชนกจักรี” แห่งอุทัยธานี สู่ “กรุพระเครื่อง” แห่งกำแพงเพชร

เส้นทางแรกเริ่มขึ้นที่ จังหวัดอุทัยธานี เมืองที่แม้ไม่ใหญ่โต แต่กลับซ่อนมนต์เสน่ห์แห่งความสงบและวัฒนธรรมไว้เต็มเปี่ยม คณะคาราวานของ ททท.ได้เดินเที่ยวชม ตรอกโรงยา อุทัยธานี หรืออีกชื่อว่า “ถนนคนเดินตรอกโรงยา” เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่น่าสนใจในใจกลางเมืองอุทัยธานี ครั้งหนึ่งตรอกแห่งนี้เป็นชุมชนชาวจีนที่ถูกกฎหมายให้สูบฝิ่น จึงเป็นที่มาของชื่อ “โรงยา” ที่สะท้อนถึงความคลาคล่ำและความคึกคักในอดีต ในปี 2500 รัฐบาลสั่งแบนฝิ่น ทำให้ตรอกซบเซา ก่อนกลับมามีชีวิตอีกครั้งในปี 2553 เมื่อชุมชนร่วมมือกับสำนักงานการท่องเที่ยว จัด “ถนนคนเดิน” เพื่อฟื้นฟูชุมชนโบราณ ในถนนคนเดินตรอกโรงยา ประกอบด้วยบ้านเรือนไม้เก่าในตรอกถูกปรับปรุงเป็นร้านค้าคาเฟ่และแกลอรี เครื่องดื่ม-ขนมไทยพื้นบ้านขายโดยชาวบ้านอุทัยธานีเองเพื่อกระจายรายได้ในชุมชน มี พิพิธภัณฑ์โรงยาฝิ่นจำลอง พร้อมกับอาสาสมัครท้องถิ่นคอยเล่าประวัติและให้ความรู้แก่ผู้มาเยือน

จุดแวะสำคัญคือ วัดสังกัสรัตนคีรี บนยอดเขาสะแกกรัง ซึ่งเป็นสถานที่ประกอบพิธีเทโวโรหณะอันโด่งดังของประเทศ ภายในวัดประดิษฐาน “หลวงพ่อพุทธมงคลศักดิ์สิทธิ์” องค์พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง ผู้ร่วมคาราวานได้ร่วมทำบุญและชมวิวแม่น้ำสะแกกรังที่ไหลทอดยาวใต้เขา ชวนให้หวนคิดถึงอดีตกาลอันเงียบสงบ


ถัดมาเพียงไม่กี่ร้อยกิโลเมตร ขบวนคาราวานเข้าสู่กำแพงเพชร—เมืองเก่าแก่ที่ได้รับการยกย่องให้เป็น “นครมรดกโลก” ร่วมกับสุโขทัย ไฮไลต์สำคัญคือการเดินทางไป อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ชมกำแพงเมืองเก่าและวัดมหาธาตุที่ยังคงความงดงามของศิลปกรรมศิลาแลงอายุนับร้อยปี ที่นี่ผู้ร่วมคาราวานยังได้กราบสักการะ พระบรมธาตุนครชุม พระอารามหลวงที่มี “พระซุ้มกอ” อันศักดิ์สิทธิ์ และมีโอกาสรับฟังประวัติศาสตร์ของพระยาลิไท ผู้ครองนครแห่งนี้ในอดีต

พระซุ้มกอเป็นพระเครื่องศิลปะสุโขทัยผสมลังกา เชื่อกันว่า สร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 19–20 โดยพระสงฆ์ในสมัยนั้นได้จำพรรษาและสร้างพระเครื่องขึ้นบริเวณ “เมืองกำแพงเพชรโบราณ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่วัดพระบรมธาตุ วัดพระแก้ว และวัดซุ้มกอ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาในยุคนั้น คำว่า “ซุ้มกอ” นั้นมาจากรูปทรงขององค์พระซึ่งมีซุ้มโค้งเป็นเอกลักษณ์คล้ายซุ้มเรือนแก้ว (หรือซุ้มโพธิ์) ที่ห่อหุ้มองค์พระไว้ เปรียบเสมือนพระประธานในอุโบสถ พระซุ้มกอได้รับการยกย่องจากครูบาอาจารย์และนักเลงพระในอดีตว่า โดดเด่นในด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาด คงกระพันชาตรี และโภคทรัพย์ โดยเฉพาะวลีที่ว่า

"พระซุ้มกอ เมืองกำแพงเพชร ใครมีไว้ในครอบครอง ไม่มีวันตกต่ำ"

ยังเป็นคำกล่าวที่ยืนยันถึงคุณค่าทั้งด้านจิตใจและประสบการณ์ของผู้ศรัทธามานับร้อยปี


ตอนที่ 2 สู่เมืองชายแดนแห่งพระเจ้าตาก -เมืองตาก ดินแดนบุรุษกล้า ธรรมชาติงาม

เมื่อเข้าสู่ จังหวัดตากเมืองชายแดนที่มีทั้งความลึกซึ้งทางประวัติศาสตร์และธรรมชาติที่ยังบริสุทธิ์ คาราวานแวะที่ วัดดอยข่อยเขาแก้ว หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า วัดพระเจ้าตากสินมหาราช ตั้งอยู่บนเนินเล็ก ๆ ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำปิง ในตำบลแม่ท้อ อำเภอเมืองจังหวัดตาก จุดศูนย์กลางในการรำลึกถึงพระมหากษัตริย์ผู้กอบกู้เอกราชไทย หลังสักการะพระบรมรูปแล้ว ยังมีพิธีถวายผ้าไตรจีวรและผ้าป่าร่วมกัน เพื่ออุทิศบุญกุศลแด่บูรพกษัตริย์และชมการแสดงขี่ม้าฟันดาบริมโบสถ์ สื่อถึงยุคกอบกู้เอกราช ตามประวัติศาสตร์ในปี พ.ศ. 2302 ขณะเสด็จทรงดำรงตำแหน่ง “พระยาตาก” ทรงทำพิธีเสี่ยงบารมี ณ วัดดอยข่อยเขาแก้ว โดยหยิบไม้เคาะระฆังขว้างใส่ถ้วยแก้วที่ตั้งห่างออกไปประมาณ 5 วา (5 เมตร) แล้วไม้กลับพุ่งตัดแก้วออกเป็นสองส่วน โดยที่แก้วไม่แตกสลาย ถือเป็นสัญลักษณ์บารมีอันยิ่งใหญ่  จากนั้น ทรงนำชิ้นแก้วนั้นไปประดับยอดเจดีย์วัดดอยข่อยเขาแก้ว และสบทบอีกลูกไว้ที่ยอดเจดีย์วัดกลางสวนดอกไม้ แต่สองลูกนี้ได้หายไปในเวลาต่อมา เช่นกัน


ช่วงเย็นผู้ร่วมคาราวานร่วมเดินเล่นบน สะพานแขวนสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี สะพานไม้ที่ทอดยาวข้ามแม่น้ำปิง สะพานกว้างประมาณ 2.5 เมตร ยาวราว 700 เมตร ติดตั้งฐานรากและเสาคอนกรีต 5 จุด พื้นไม้โยง ยึดด้วยลวดสลิงขนาดใหญ่ ปัจจุบันเปิดเฉพาะสำหรับการเดินเท้า (และจักรยาน) เพื่อชมวิวแม่น้ำปิง โดยช่วงเย็น–ค่ำจะมีการประดับไฟสวยงาม เพิ่มความโรแมนติกและมีเสน่ห์ยามแสงหมดวัน ซึ่งกลายเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของตากในปัจจุบัน แสงไฟที่ประดับสะพานยามค่ำคืนสะท้อนผิวน้ำ ราวกับร้อยเรียงอดีตกับปัจจุบันเข้าด้วยกันอย่างลงตัว

ตอนที่ 3 ลำปาง: เสน่ห์ล้านนาในกาลเวลา

ท่ามกลางขุนเขาแห่งลุ่มน้ำวัง เมืองลำปางยังคงรักษาเอกลักษณ์ล้านนาไว้อย่างงดงาม หนึ่งในบทเดินทางของคณะเราวันนี้ เริ่มต้นจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ถือเป็นหัวใจของเมือง—วัดพระธาตุลำปางหลวง วัดเก่าแก่ที่ตั้งตระหง่านมานานกว่าพันปี เป็นเสมือนบันทึกประวัติศาสตร์ที่ยังมีชีวิต

🛕 วัดพระธาตุลำปางหลวง: จิตวิญญาณล้านนา

เมื่อก้าวผ่านซุ้มประตูโค้งแบบล้านนาที่งดงามเข้าสู่ลานวัด สิ่งแรกที่สะดุดตาคือ พระวิหารหลวง อันเป็นที่ประดิษฐานของ พระเจ้าล้านทอง พระพุทธรูปสำริดองค์ใหญ่ที่มีศิลปะละเมียดละไมสมกับชื่อ "ล้านทอง" ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นหนึ่งในพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของภาคเหนือ

ด้านหน้าเป็นที่ประดิษฐานของ พระเจ้าทันใจ พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองอีกองค์หนึ่งที่มีผู้คนมากราบไหว้และขอพรอย่างเนืองแน่น โดยเฉพาะผู้ศรัทธาที่เชื่อว่า คำขอจะสมปรารถนาได้ในเวลาอันรวดเร็ว

บริเวณด้านในของวิหาร ยังมี ภาพจิตรกรรมฝาผนังโบราณ ที่ถูกทำนุบำรุงไว้อย่างดี ภาพเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงศิลปะ แต่ยังเป็นเรื่องเล่า แฝงไว้ด้วยคติธรรม และวิถีชีวิตชาวล้านนาในอดีต ซึ่งเรายังได้รับฟังการบรรยายอย่างละเอียดจากวิทยากรท้องถิ่น ที่เล่าอย่างมีชีวิตชีวาในพื้นที่วิหารด้านบน


🛕 พระธาตุกลับหัว - พระแก้วดอนเต้า: แรงศรัทธาที่ไม่มีวันหันหลัง

จากวัดพระธาตุลำปางหลวง คณะเดินทางต่อไปยัง พระธาตุกลับหัว วัดเล็ก ๆ ที่แฝงตำนานน่าค้นหา เรื่องเล่ากล่าวว่า องค์พระธาตุแห่งนี้สะท้อนกลับหัวในภาพถ่ายโดยไม่ทราบสาเหตุ กลายเป็นความอัศจรรย์ทางศรัทธาที่หลายคนมาสัมผัสด้วยตาตนเอง

ถัดไปไม่ไกลคือ วัดพระแก้วดอนเต้า อีกหนึ่งวัดเก่าแก่ที่เคยเป็นที่ประดิษฐาน พระแก้วมรกต ก่อนจะถูกอัญเชิญไปยังเชียงรายและต่อมาไปประดิษฐาน ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพฯ ปัจจุบันวัดแห่งนี้ยังคงเงียบสงบ ร่มเย็น และเปี่ยมไปด้วยบรรยากาศของศรัทธาอันเรียบง่าย

🐎 รถม้าลำปาง: วิถีเมืองที่ยังไม่เร่งรีบ

ช่วงบ่ายของวัน เราย้อนเวลากลับไปในยุคลำปางรุ่งเรือง ด้วยการ นั่งรถม้า เที่ยวชมตัวเมืองเก่า รถม้าค่อยๆ เคลื่อนผ่านวัดวาอาราม บ้านไม้เก่า และอาคารสไตล์ยุโรปที่เคยเป็นศูนย์ราชการในยุคต้นรัตนโกสินทร์

เสียงล้อกระทบถนนหินคลุก บรรยากาศร่มรื่นของเมืองเล็กแสนสงบ ชวนให้จิตใจผ่อนคลายระหว่างทางที่ผ่าน วัดปงสนุก วัดหลวงพ่อเกษม สุสานฝรั่งโบราณ และสะพานรัษฎาภิเศก—สะพานขาวเก่าแก่ที่เป็นจุดถ่ายภาพยอดนิยม


ตอนที่ 4 ตามรอยธรรม นักบุญแห่งล้านนา 

เมื่อคาราวาน "ตามรอยตำนาน 17 จังหวัดภาคเหนือ" เคลื่อนตัวออกจากจังหวัดลำปางในยามเช้าของวันที่ 24 มิถุนายน 2568 จุดหมายปลายทางคือ วัดพระธาตุหริภุญชัย วรมหาวิหาร จังหวัดลำพูน — หนึ่งในศูนย์กลางทางศาสนาและจิตวิญญาณของชาวล้านนา

🛕 วัดพระธาตุหริภุญชัย วรมหาวิหาร — มนต์เสน่ห์แห่งอาณาจักรหริภุญไชย

ตั้งอยู่ใจกลางเมืองลำพูน วัดแห่งนี้คือหนึ่งในพระธาตุประจำปีเกิดของผู้ที่เกิดปีระกา (ไก่) และเป็นศาสนสถานที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานเกือบพันปี ย้อนไปถึงยุคของพระนางจามเทวี กษัตริย์หญิงผู้ก่อตั้งนครหริภุญไชย

เมื่อคณะคาราวานมาถึง ได้รับฟังบรรยายจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ซึ่งได้เล่าถึง ความโดดเด่นของสถาปัตยกรรม ที่หลอมรวมวัฒนธรรมหลายชาติพันธุ์ อาทิ มอญ พม่า ไทย และล้านนา โดดเด่นด้วยพระเจดีย์ทรงมอญ สีทองอร่ามสูง 46 เมตร ซึ่งบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ภายใน

ในมุมหนึ่งของวัด ยังมีร่องรอยการบูรณะและเสริมสร้างโดย ครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนา ผู้มีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในภาคเหนือ ชาวคาราวานได้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเดินชมสถาปัตยกรรมโบราณ อาทิ วิหารหลวง และ หอธรรมโบราณ


ตอนที่ 5 จากลำพูนสู่ปาย — เส้นทางสายโค้งงาม

หลังจากอิ่มบุญกันที่ลำพูน คาราวานได้เดินทางผ่าน อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ก่อนจะเลี้ยวเข้าสู่เส้นทางโค้งสู่ อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน เส้นทางนี้ถือว่าเป็นหนึ่งใน ไฮไลต์ของการเดินทางทางรถยนต์ ด้วยโค้งกว่า 762 โค้ง และภูมิประเทศแบบภูเขาสลับซับซ้อน ทว่าภาพของ ป่าไม้เขียวขจี น้ำตกริมทาง และสายหมอกบางๆ กลับทำให้ทุกวินาทีของการเดินทางเต็มไปด้วยความสุข

🕍 วัดน้ำฮู — ศรัทธาแห่งประวัติศาสตร์

จุดหมายแรกของปายคือ วัดน้ำฮู วัดเก่าแก่ที่เปี่ยมด้วยตำนานและความเชื่อ วัดนี้เป็นที่ประดิษฐานของ พระอุ่นเมือง พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่กล่าวกันว่า "มีน้ำไหลออกจากเศียร" ตลอดปี ซึ่งเป็นที่ศรัทธาของชาวบ้านและนักท่องเที่ยวอย่างสูง

ที่นี่ยังเชื่อมโยงกับตำนาน สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และ พระนางสุพรรณกัลยา ซึ่งว่ากันว่าทรงเสด็จมาประทับแรมที่เมืองปายก่อนศึกยุทธหัตถี นอกจากนี้ ยังมีห้องอนุสรณ์ที่จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้และเรื่องราวของ ครูบาศรีวิชัย ผู้เคยมาปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งนี้


🏨 Peacock De Pai Hotel & ถนนคนเดิน

หลังจากเข้าที่พัก ณ Peacock De Pai Hotel และงานเลี้ยงต้อนรับจากนั้นทุกคนได้ร่วมเดินชม ถนนคนเดินปาย ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา กลิ่นอาหารหอมกรุ่นจากร้านรวงนับร้อย ร้านกาแฟเปิดไฟนวล ร้านแฮนด์เมดจากชาวเขา นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติร่วมเดินอย่างคึกคัก


ตอนที่ 6: เชียงใหม่ — แสงศรัทธาใต้ร่มเงาเจ้าดารารัศมี

สถานที่แรกที่คณะคาราวานแวะพักรับประทานอาหารกลางวันในจังหวัดเชียงใหม่ — ที่นี่ไม่เพียงแค่เสิร์ฟอาหารเหนือรสแท้ แต่ยังเป็นพื้นที่เชิงวัฒนธรรมที่ตกแต่งแบบเรือนไม้ล้านนาโบราณ มุมถ่ายรูปทุกจุดสะท้อนรากเหง้าของภูมิปัญญาท้องถิ่น

🛕 วัดป่าดาราภิรมย์ — ธรรมสถานแห่งพระราชชายา

หลังอาหาร คณะคาราวานเดินทางสู่แหล่งท่องเที่ยวสายจิตวิญญาณและประวัติศาสตร์ คือ “วัดป่าดาราภิรมย์” ในอำเภอแม่ริม หนึ่งในวัดป่าที่เงียบสงบ สง่างาม และเปี่ยมด้วยพลังของศรัทธา วัดแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2484 และมีจุดเริ่มต้นจากการที่ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้จาริกธุดงค์มาพำนักภาวนาในพื้นที่ที่เคยเป็นป่าช้าใกล้สวนเจ้าสบาย ซึ่งอยู่ภายในพระราชฐานของ เจ้าดารารัศมี พระราชชายาในรัชกาลที่ 5

ต่อมาเมื่อชาวบ้านเกิดศรัทธา จึงร่วมแรงร่วมใจกันสร้างเป็นวัด และได้รับพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดป่าดาราภิรมย์” เพื่อถวายพระเกียรติแด่เจ้าดารารัศมี

✨ จุดน่าสนใจในวัด:

  • พระเจดีย์ดารารัศมี เจดีย์ทรงล้านนาอ่อนช้อย สีขาวงามตา สะท้อนถึงความสง่างามของเจ้านายฝ่ายเหนือ

  • ศาลาไม้เก่าริมสวนป่า สถานที่ปฏิบัติธรรมอันเงียบสงบ เหมาะกับการเจริญสติ

  • พระอุโบสถประดิษฐานพระประธาน และจิตรกรรมฝาผนังเล่าเรื่องธรรมะอย่างละเมียดละไม

  • หลวงพ่อทองคำ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำวัด

นอกจากความงดงามทางศิลปะแล้ว วัดแห่งนี้ยังมีบรรยากาศร่มรื่น เย็นสบาย ด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยที่ถูกดูแลอย่างดีราวสวนหลวง ไม่แปลกที่วัดป่าดาราภิรมย์จะเป็นหนึ่งในสถานที่ปฏิบัติธรรมที่ชาวเชียงใหม่และนักท่องเที่ยวสายบุญนิยมมากที่สุด


Grand Moment แห่งการเดินทาง: ไม่ใช่แค่สถานที่ แต่คือความหมาย

กิจกรรมคาราวานในครั้งนี้ ไม่ได้มุ่งแค่การเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวเท่านั้น แต่เน้น “การเล่าเรื่อง” ผ่านแนวคิด Grand Moment ที่แยกออกเป็น 3 มิติหลัก ได้แก่:

  • Grand Experience ขับรถผ่านเส้นทางคดเคี้ยวของภูเขา ชมทิวทัศน์ที่เปลี่ยนไปในทุกกิโลเมตร และสัมผัสธรรมชาติที่ยังบริสุทธิ์ของภาคเหนือ

  • Grand Destination เยี่ยมชมแหล่งมรดกโลก วัดวาอาราม และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ พร้อมรับฟังเรื่องเล่าที่เปี่ยมไปด้วยตำนานและศรัทธา

  • Grand Delight ลิ้มรสอาหารพื้นเมือง เช่น ข้าวซอยเมืองลำปาง ปลาแรดจากอุทัยธานี กล้วยไข่จากกำแพงเพชร พร้อมเลือกซื้อของฝากงานฝีมือพื้นบ้าน                                                                       

  • โครงการคาราวานท่องเที่ยวตามรอยตำนาน 17 จังหวัดภาคเหนือในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวในภูมิภาค แต่ยังเป็นการเชื่อมโยงวัฒนธรรม ตำนาน และประวัติศาสตร์ ให้กับนักท่องเที่ยวได้สัมผัสอย่างใกล้ชิดตลอดเส้นทาง ตลอดระยะเวลากว่าสัปดาห์ของการเดินทางจากดินแดนพระชนกจักรีแห่งอุทัยธานีสู่นครพิงค์เมืองเชียงใหม่ คาราวาน “ตามรอยตำนาน 17 จังหวัดภาคเหนือ”ไม่ใช่แค่การท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อน แต่มันคือ “การเดินทางกลับไปหาตัวตนของแผ่นดิน”ผ่านถนนสายโค้งคดเคี้ยว ผ่านภูเขาสลับซับซ้อน ผ่านชุมชนที่ยังยิ้มได้แม้โลกหมุนเร็วผ่านวัดโบราณที่แฝงเรื่องเล่าหลายร้อยปี

เราได้พบว่า...“ภาคเหนือ ไม่ได้มีแค่ภูเขา แต่มีภูมิปัญญา” ไม่ได้มีแค่ธรรมชาติ แต่มีธรรมะ และไม่ได้มีแค่จุดเช็กอิน แต่มีเรื่องราวที่รอให้คนฟังอย่างตั้งใจ
 คาราวานตามรอยตำนาน 17 จังหวัดภาคเหนือ

จึงไม่ได้เพียงขับรถไปในพื้นที่
แต่ได้ “ขับเคลื่อนความทรงจำ” ของภูมิภาคทั้งภูมิภาค
และสร้างแรงบันดาลใจใหม่ว่าการท่องเที่ยว…จะมีความหมายที่สุด
เมื่อมัน “เชื่อมใจคน เข้ากับเรื่องราวของแผ่นดิน”

เราอาจลืมว่าตัวเองเป็นใครในโลกที่หมุนเร็ว...
แต่เมื่อได้กลับมาเดินบนเส้นทางแห่งศรัทธาเหล่านี้อีกครั้ง
เราก็จะจำได้ว่า เราเคยยืนอยู่ตรงไหนของผืนแผ่นดินนี้

 

  • บันทึกความทรงจำ โดย วิริทธิ์พล  หิรัญรัตน์ 
  • ภาพเล่าเรื่องโดย  ขุนพล ทัพอโยธยา/ นที บุญรอด

  • สื่อสารข้อมูล โดย ทีมเครือข่ายสื่อมวลชน จ.เพชรบูรณ์

23 มิถุนายน 2568

จากแปลงนาสู่เจดีย์ข้าว ฮ่วมแฮง ฮ่วมใจ หว่านกล้า เอามื้อสามัคคี สืบศรัทธาสู่ชุมชนยลวิถี


กลางเดือนมิถุนายน ณ ทุ่งนากลางหมู่บ้านห้วยไร่ อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ เสียงหัวเราะและบทสนทนาอันคุ้นเคยของชาวบ้านได้หลอมรวมเป็นบรรยากาศอบอุ่นและมีชีวิตชีวาในกิจกรรม“ฮ่วมแฮง ฮ่วมใจ หว่านกล้า เอามื้อสามัคคี” ที่มิใช่เพียงการปลูกข้าว แต่คือการปลูกศรัทธา ความรักในถิ่นฐาน และสายใยแห่งชุมชน 

กิจกรรมครั้งนี้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2568 ที่แปลงนาเล็ก ๆ ของ นายสวัสดิ์ คำสุข บ้านเลขที่ 4 หมู่ที่ 2 ตำบลห้วยไร่ อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสืบสานวิถีชาวนาไทย อนุรักษ์วัฒนธรรมพื้นถิ่น และแสดงพลังความสามัคคีในการลงแรงหว่านกล้าร่วมกันในรูปแบบ “เอามื้อสามัคคี” ภายใต้บรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นกันเอง ชาวบ้านทั้งชายหญิง เยาวชน ผู้สูงอายุ ตลอดจนพระสงฆ์และหน่วยงานภาครัฐ ต่างพร้อมใจกันลงแขกลงแรงในนาข้าว ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยศรัทธาต่อ “พระแม่โพสพ” เทพีแห่งข้าวผู้เป็นดั่งเสาหลักของชีวิตชาวนาไทย


ในกิจกรรมหว่านกล้านี้ ได้รับเกียรติจาก นายภาคภูมิ ภูมี นายอำเภอหล่มสัก เป็นประธานในพิธีเปิดงาน ซึ่งได้กล่าวถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ประเพณีท้องถิ่น และการดำรงชีวิตที่สอดคล้องกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ตามที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ นายศรัณยู มีทองคำ ได้เน้นย้ำ

ด้านพระสงฆ์นำโดย พระครูศรีวัชรคุณ เจ้าคณะอำเภอหล่มสัก (ธรรมยุต) และเจ้าอาวาสวัดสันติวัฒนา พร้อมด้วย พระครูถาวรพัชรกิจ เจ้าคณะตำบลห้วยไร่ ได้นำคณะสงฆ์ประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และประพรมน้ำมนต์ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ผู้เข้าร่วมงาน


อีกทั้งยังมีผู้แทนจากหลายภาคส่วน ทั้งภาคราชการ เอกชน และภาคประชาชน อาทิ สำนักงานพระพุทธศาสนา ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด นายกกิ่งกาชาดอำเภอหล่มสัก นายกองค์การบริหารส่วนตำบลห้วยไร่ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลห้วยไร่ ผู้อำนวยการโรงเรียนในพื้นที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้สูงอายุ อสม. และเยาวชน รวมถึงประชาชนทั่วไป เข้าร่วมกันอย่างคับคั่ง

วัดโฆษา ซึ่งตั้งอยู่ในชุมชนบ้านท่าช้าง ตำบลห้วยไร่ ไม่เพียงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้าน แต่ยังเป็นหัวใจของกิจกรรมทางวัฒนธรรมและศาสนาของชาวบ้านมาโดยตลอด หนึ่งในกิจกรรมสำคัญที่มีชื่อเสียงคือ “ประเพณีก่อเจดีย์ข้าว” ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนธันวาคม เพื่อบูชาพระแม่โพสพและสำนึกในพระคุณของธรรมชาติที่หล่อเลี้ยงชีวิต

เจดีย์ที่ก่อขึ้นจากรวงข้าว ฟ่อนฟาง และวัสดุธรรมชาติจากวิถีชีวิตของชาวนา เปรียบเสมือนเครื่องหมายแห่งศรัทธาและความสามัคคี ที่แฝงไว้ด้วยภูมิปัญญาและความงดงามเชิงสัญลักษณ์ของการเคารพในผืนดินและวัฒนธรรมของตนเอง


ด้วยรากฐานอันแข็งแกร่งด้านศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม และการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเพชรบูรณ์ ได้พิจารณาคัดเลือกชุมชนที่มีศักยภาพตามเกณฑ์ 4 ด้าน ได้แก่

  1. การรักษา พัฒนา และต่อยอดทุนทางวัฒนธรรมที่เป็นอัตลักษณ์ของชุมชน

  2. การบริหารจัดการการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างสร้างสรรค์

  3. ความโดดเด่นของแหล่งท่องเที่ยวและกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับวิถีชีวิต

  4. การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์อย่างเป็นระบบ

โดยหลังจากการประเมินอย่างเข้มข้นในทุกมิติ ที่ประชุมมีมติคัดเลือก ชุมชนบ้านท่าช้าง (วัดโฆษา) ตำบลห้วยไร่ อำเภอหล่มสัก ให้เป็น สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ระดับจังหวัด ซึ่งจะเป็นตัวแทนเพชรบูรณ์ส่งเข้าประกวด 10 สุดยอดชุมชนระดับประเทศโดยในเดือนกรกฏาคม 2568 คณะกรรมการระดับจะลงพื้นที่เพื่อประเมินในการเป็นสุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ระดับประเทศ ความพร้อมในด้านศิลปวัฒนธรรม วิถีเกษตรอินทรีย์ งานประเพณีเจดีย์ข้าว และกิจกรรมชุมชนอย่างการ “เอามื้อสามัคคี” ล้วนสะท้อนอัตลักษณ์ของบ้านท่าช้างในมิติที่สมบูรณ์ ทั้งในด้านกายภาพ จิตใจ และความร่วมมือของคนในพื้นที่


ภาพของผู้เฒ่าผู้แก่ที่ลงแรงหว่านกล้าคู่กับเยาวชนรุ่นใหม่ ภาพของพระสงฆ์ที่ให้พรท่ามกลางกลิ่นหอมของดินเปียก และภาพของรอยยิ้มจากผู้ร่วมกิจกรรมทุกช่วงวัย กลายเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นว่า “ชุมชนที่เข้มแข็งเริ่มต้นจากหัวใจที่รักในท้องถิ่นของตน”

กิจกรรม “ฮ่วมแฮง ฮ่วมใจ หว่านกล้า เอามื้อสามัคคี” จึงไม่ใช่แค่กิจกรรมธรรมดา แต่คือการรื้อฟื้นหัวใจของชาวนาไทยให้กลับมาเต้นอีกครั้ง ด้วยพลังของศรัทธา วัฒนธรรม และความสามัคคีอย่างแท้จริง และสะท้อนถึงการพัฒนาใด ๆ จะยั่งยืนได้ ต้องตั้งอยู่บนฐานของคนในชุมชนที่เข้าใจตนเอง และมีศรัทธาร่วมกันในคุณค่าของถิ่นเกิด

วิริทธิ์พล หิรัญรัตน์ -รายงาน


16 มิถุนายน 2568

“เทศกาลทุเรียนทองคำและผลไม้ชาววัง” สัมผัสเสน่ห์ผลไม้รสล้ำจากผืนดินวังโป่ง

กลางหุบเขาเขียวชอุ่มของอำเภอวังโป่ง จังหวัดเพชรบูรณ์ นอกจากธรรมชาติที่งดงามแล้ว ยังซ่อนสมบัติของแผ่นดินไว้อย่าง “ทุเรียนวังโป่ง” และผลไม้นานาพันธุ์ ที่ผลิบานด้วยแรงใจของเกษตรกรท้องถิ่น ทุกปีในช่วงต้นฤดูฝน ผลผลิตเหล่านี้จะถูกยกย่องและเฉลิมฉลองผ่านงาน “เทศกาลทุเรียนทองคำและผลไม้ชาววัง” เทศกาลที่มากกว่าการชิมของอร่อย แต่ยังเป็นเวทีแสดงพลังของชุมชน และเชื่อมโยงนักท่องเที่ยวเข้ากับรากเหง้าแห่งวิถีเกษตรไทยอย่างแท้จริง

นายพิทยา ดวงพัตรา นายอำเภอวังโป่ง เปิดเผยถึงความตั้งใจในการจัดเทศกาลครั้งนี้ว่า เป็นการร่วมมือกันระหว่างอำเภอ สำนักงานเกษตรอำเภอ และภาคีเครือข่ายในพื้นที่ เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก สนับสนุนผลผลิตของเกษตรกรท้องถิ่น และสร้างเวทีให้ “ทุเรียนวังโป่ง” ได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ทุเรียนวังโป่ง แม้จะไม่ใช่พื้นที่ปลูกขนาดใหญ่ แต่ขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพ ด้วยเทคนิคการปลูกและดูแลแบบประณีต เกษตรกรจะคัดเฉพาะผลที่แก่จัดจากต้น ทำให้เนื้อทุเรียนมีความหอม มัน ละเอียด และรสชาติกลมกล่อมเป็นเอกลักษณ์ จนได้รับเสียงชื่นชมจากผู้บริโภคทั่วประเทศ

ภายในงาน ผู้เข้าร่วมจะได้พบกับผลไม้สดใหม่จากสวนกว่า 20 แห่งในอำเภอวังโป่ง โดยเฉพาะทุเรียนที่จำหน่ายในราคาสุดคุ้ม เพียงกิโลกรัมละ 130 บาท พร้อมเปิดสวนให้เข้าชมอย่างใกล้ชิด สัมผัสบรรยากาศจริงของการเก็บเกี่ยว และเรียนรู้วิธีการปลูกผลไม้โดยตรงจากเกษตรกร นอกจากนี้ ยังมีโซน “ชิม ช้อป แชะ” ที่รวบรวมสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ชุมชน พร้อมกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ การแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน การประกวดผลไม้คุณภาพ และกิจกรรมสันทนาการสำหรับครอบครัว

เทศกาลครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากหลายภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน รวมถึงภาคเอกชน เช่น บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) และบริษัท โลตัสฮอล จำกัด ตอกย้ำถึงพลังความร่วมมือที่หล่อเลี้ยงชุมชนวังโป่งให้เข้มแข็ง นายพิทยา กล่าวทิ้งท้ายว่า “นี่คือโอกาสอันดีในการแสดงออกถึงความสามารถของเกษตรกรและเสน่ห์ของอำเภอวังโป่ง ซึ่ง"ทุเรียนทองคำ" ของอำเภอวังโป่ง ปลูกในพื้นที่ที่เป็นแหล่งแร่ทองคำอันดับต้นๆ ของประเทศไทย ตามคำขวัญของอำเภอวังโป่งที่ตั้งไว้ว่า "เพชรเม็ดที่ 9 อู่ข้าวอู่น้ำ แหล่งแร่ทองคำ ถ้ำงามน้ำตก มรดกผ้าไทย" จะมีรสเด็ดขนาดไหน ขอเชิญชวนทุกท่านมาเยี่ยมชมและอุดหนุนผลไม้คุณภาพ พร้อมสัมผัสธรรมชาติ วัฒนธรรม และความอบอุ่นของชุมชน รับรองว่าจะไม่ผิดหวังแน่นอน”

เตรียมกล้อง เตรียมกระเป๋า แล้วไปพบกันที่ “สวนลุงยาว” วังโป่ง เพชรบูรณ์

อย่าพลาด! เทศกาลที่รวบรวมรสชาติ ความสุข และหัวใจของเกษตรกรตัวจริงไว้ในที่เดียว

📍 สถานที่จัดงาน: สวนลุงยาว บ้านซับเปิบ ตำบลซับเปิบ อำเภอวังโป่ง จังหวัดเพชรบูรณ์
📅 วันเวลา: 21–22 มิถุนายน 2568 เวลา 08.00 น. เป็นต้นไป
📞 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม: สำนักงานเกษตรอำเภอวังโป่ง โทร. 094-996-2661

โดย เดชา มลามาตย์ – ยุทธ ศรีทองสุข



15 มิถุนายน 2568

"Camping in the Rain EP.4" คอนเสิร์ตเล็กแต่หัวใจใหญ่… พร้อมปลุกความสุขกลางป่าเขา 16 สิงหาคมนี้ที่เขาค้อ


เตรียมเสื่อ เตรียมเต็นท์ แล้วออกเดินทางไปฟังเสียงธรรมชาติและบทเพลงจากหัวใจในงานคอนเสิร์ตที่ "ไม่ใหญ่...แต่เข้าใจหัวใจสายแคมป์" กับ Camping in the Rain EP.4 วันที่ 16 สิงหาคม 2568Forest Hills 1 เขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์

หลังจากประสบความสำเร็จในทุก EP ที่ผ่านมา งานนี้ยังคงไว้ซึ่งกลิ่นอายของมิตรภาพ ความเรียบง่าย และเสียงดนตรีสดจากศิลปินสายแคมป์ที่แฟน ๆ ต่างรอคอย โดยในปีนี้พบกับ:

🎤 ศิลปินตัวจริง สายอารมณ์ สายฟัง

  • Phumin นักร้องหนุ่มขวัญใจสายอินดี้

  • วสันต์17 กับบทเพลงฟีลกู๊ดที่อบอุ่นหัวใจ

  • Mr.พระจันทร์ พาใจลอยไปกับเนื้อเพลงโรแมนติก

  • สหายก่อ กรการ กับสำเนียงโฟล์คเพื่อชีวิตที่ไม่เหมือนใคร

  • และปิดท้ายด้วยวงที่ทุกคนไม่อยากให้โชว์จบง่าย ๆ อย่าง "สกุลจาร์" ที่การันตีว่าเสียงเพลงของพวกเขาจะทำให้ค่ำคืนนั้นไม่เงียบเหงา

🌿 บรรยากาศท่ามกลางขุนเขาและสายหมอกใน Forest Hills 1 สถานที่ที่เคยสร้างความประทับใจให้กับผู้ร่วมงานในทุกปี กลับมาอีกครั้งพร้อมวิวหลักล้าน อากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี และพื้นที่กางเต็นท์ฟรีกว่า 10 ไร่ ที่พร้อมให้คุณมาสัมผัสธรรมชาติอย่างแท้จริง

🎁 พิเศษ! ของชำร่วยสำหรับผู้ร่วมงาน 400 คนแรกเท่านั้น
🎟️ บัตรราคา Early Bird เพียง 555 บาท (ก่อนปรับขึ้นราคา) รับจำนวนจำกัด!

🛍️ ภายในงานยังมีบูธของกินของใช้ คาเฟ่ป่า ร้านงานคราฟต์ และจุดถ่ายภาพสวย ๆ ไว้ให้สายโซเชียลเก็บภาพไปอวดกันแบบจุใจ


ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Page: Camping in the Rain
จองบัตร – จองพื้นที่ – แล้วมาเจอกันที่เขาค้อ… ให้เสียงเพลงและสายหมอกเยียวยาหัวใจ

#CampingInTheRainEP4 #คอนเสิร์ตกลางป่า #เที่ยวเขาค้อ #สายแคมป์ต้องมา #สกุลจาร์ไม่ให้กลับบ้าน


02 พฤษภาคม 2568

จากลุ่มน้ำแดงถึงลำตะคร้อ: :ชีวิต วิถี และศรัทธาเสน่ห์แห่งวิถีไตดำ

ท่ามกลางทิวเขาสลับซับซ้อนของจังหวัดเพชรบูรณ์มีชุมชนเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของอดีตกาล ชุมชนที่ดำรงวิถีวัฒนธรรมเฉพาะตัวอย่างมั่นคงมายาวนานนับศตวรรษ ที่นี่คือ บ้านลำตะคร้อ ในตำบลกันจุ อำเภอบึงสามพัน หมู่บ้านที่แม้จะดูเงียบเรียบง่าย หากแต่แฝงไว้ด้วยวัฒนธรรมอันล้ำค่าของกลุ่มชาติพันธุ์ ไททรงดำ หรือ ไตดำ ที่ยังคงรักษาอัตลักษณ์ดั้งเดิมได้อย่างเหนียวแน่นและนี่คือเรื่องเล่าของผู้คนที่แบกวัฒนธรรมข้ามพรมแดน มาปลูกไว้กลางขุนเขาเพชรบูรณ์


เรื่องราวของไททรงดำเริ่มต้นจากดินแดนแถบลุ่มน้ำดำและน้ำแดง ในบริเวณตอนเหนือของเวียดนามและลาวในปัจจุบัน โดยในช่วงปลายกรุงศรีอยุธยาและต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ไตดำ หรือที่คนสยามเรียกเขาว่า ไทยทรงดำหรือลาวโซ่ง เป็นชาติพันธุ์ตระกูลไทหรือไต ที่เคยมีดินแดนบ้านเมืองเป็นของตัวเอง ในบริเวณที่เคยถูกเรียกว่าแคว้นสิบสองจุไท ที่มีเมืองสำคัญ เช่น เมืองลอและเมืองแถนหรือเดียนเบียนฟู ที่อยู่ทางตอนเหนือของเวียดนามติดกับลาวในปัจจุบัน ชาวไทดำจำนวนมากถูกกวาดต้อนเข้ามายังแผ่นดินสยาม อันเนื่องมาจากภาวะสงครามและยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศของรัฐไทยในอดีต จากการอพยพนั้น ชาวไทดำได้ตั้งถิ่นฐานกระจายอยู่หลายแห่งในประเทศไทย เช่น จังหวัดสุพรรณบุรี อุดรธานี เลย และเพชรบูรณ์ โดยบ้านลำตะคร้อคือหนึ่งในชุมชนที่สืบทอดรากเหง้าและวัฒนธรรมของบรรพชนไว้อย่างชัดเจน

เสน่ห์ของบ้านลำตะคร้ออยู่ที่วิถีชีวิตที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง ชาวบ้านยังคงพูดภาษาไทดำในชีวิตประจำวัน เคารพต่อผีบรรพบุรุษ มีพิธีกรรมเฉพาะตระกูลอย่าง “เสนเรือน เสนบ้าน” ที่สะท้อนระบบความเชื่อและโครงสร้างครอบครัวแบบดั้งเดิม เสื้อผ้าของหญิงไทยทรงดำมีเอกลักษณ์ด้วยชุดดำสนิท ปักลวดลายสีสดและห่มผ้าซิ่นลายเฉพาะเผ่า เป็นภาพที่ทั้งสะดุดตาและเต็มไปด้วยเรื่องราวทางวัฒนธรรม ไตดำ มีอัตลักษณ์ที่งดงามหลายอย่างโดยเฉพาะเครื่องแต่งกายที่ใช้แต่สีดำ ใช้ผ้าสีสดใสตัดปะเป็นลายดอกประดับเสื้อ ใช้กระดุมเงิน 11 เม็ด ผู้หญิงนุ่งผ้าถุงลายแตงโม ปลายบาน ทรงหน้าวัวหรือหน้าสั้นหลังยาว พาดบ่าด้วยผ้าเปียว ผู้ชายใส่กางเกง บ้านยกสูงมีใต้ถุน หลังคามุงหญ้าเป็นทรงกระดองเต่า นิยมทำการเกษตร มีวัฒนธรรมประเพณี เช่น การอินก๊อนฟ่อนแก้น มีวิถีชีวิตทำการเกษตร มีการอยู่อาศัย อาหาร และใช้ภาษาตระกูลไทกะไดเป็นของตัวเอง นับถือผีบรรพบุรุษ โดยในบ้านจะมีห้องโดยเฉพาะสำหรับบรรพบุรุษที่จะต้องนำอาหารไปให้ทุก ๆ วัน และนับถือผีแถนเป็นใหญ่สูงสุด โดยมีความเชื่อว่าไตดำตายไป วิญญาณจะไปรวมอยู่กับผีแถนที่ถิ่นกำเนิดที่เมืองแถน

อีกหนึ่งความภาคภูมิใจของชาวลำตะคร้อ คือ “การรำพื้นบ้าน” อาทิ รำแคน รำฟ้อน ซึ่งถ่ายทอดลีลาอ่อนช้อยผ่านท่วงทำนองดนตรีพื้นถิ่น ที่ไม่เพียงให้ความบันเทิง แต่ยังสะท้อนวิถีชีวิต ความเชื่อ และความสามัคคีในชุมชน เด็กและเยาวชนในหมู่บ้านหลายรุ่นยังได้รับการฝึกฝนให้เรียนรู้การรำเหล่านี้ เพื่อให้ศิลปะวัฒนธรรมไม่สูญหายไปตามกาลเวลา รวมถึงฟ้อนไททรงดำ” การแสดงพื้นบ้านที่นำเสนอผ่านท่วงท่าการเล่นลูกช่วง การโยนลูกผ้าสี่เหลี่ยมเพื่อเกี้ยวพาราสีในอดีต อันเป็นการสื่อความรักแบบงดงามของหนุ่มสาวไตดำ

อาหารพื้นบ้านของชาวไททรงดำก็โดดเด่นไม่แพ้กัน หากได้มาเยือนลำตะคร้อ ไม่ควรพลาดลิ้มรสเมนูอย่าง ข้าวพันไม้ไผ่ ข้าวเหนียวนึ่งในกระบอกไม้ไผ่แบบโบราณ, แกงหยวกกล้วย, หมกปลาใส่ใบยอ, และ ขนมโค ขนมพื้นบ้านที่หอมหวานเคล้าความทรงจำของวัยเยาว์ ทุกเมนูล้วนสะท้อนภูมิปัญญาในการใช้วัตถุดิบท้องถิ่นมารังสรรค์เป็นอาหารที่ทั้งเรียบง่ายและเปี่ยมเสน่ห์ นอกจากนี้ยังมีหนึ่งในเอกลักษณ์ที่ชวนให้หลงใหลคืออาหารพื้นถิ่นอย่าง ผักจุ๊บ หรือที่คนทั่วไปเรียกกันว่า “ยำผัก” ซึ่งเป็นอาหารประจำพิธีกรรม ชาวบ้านจะนำผักพื้นบ้านหลากชนิดมานึ่ง ซอย คลุกเคล้ากับเครื่องปรุงพื้นถิ่นอย่างพริกคั่ว มะแขว่น ข่า ตะไคร้ และน้ำปลาร้าหอมฉุน รสชาติเผ็ด เค็ม เปรี้ยวจัดจ้านที่กินแล้วให้ความรู้สึกถึงรากเหง้าของชาติพันธุ์

ปัจจุบันมีชุมชนไตดำอยู่หลายแห่ง ทั้งภาคตะวันตก ภาคกลาง และภาคเหนือตอนล่าง รวมทั้งจังหวัดเพชรบูรณ์ด้วย ซึ่งขณะนี้มี 40 กว่าครอบครัว ที่บ้านลำตะคร้อ ต.กันจุ อ.บึงสามพัน ซึ่งไตดำทุกกลุ่มก็ยังคงยึดมั่นรักษาวัฒนธรรมประเพณีของตัวเองอย่างเหนียวแน่น แม้จะต้องจากถิ่นกำเนิดของบรรพบุรุษมากว่า 200 ปีแล้วก็ตาม แม้โลกภายนอกจะเปลี่ยนไปเพียงใด แต่ชาวลำตะคร้อก็ยังยึดมั่นในวัฒนธรรมของตน ในขณะเดียวกันก็เปิดใจต้อนรับผู้มาเยือนด้วยมิตรไมตรีแบบไทย ๆ ทำให้หมู่บ้านแห่งนี้กลายเป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัส “พิพิธภัณฑ์มีชีวิต” ที่สืบทอดมาแต่โบราณ

การเดินทางมาบ้านลำตะคร้อ ไม่เพียงแต่จะได้ชื่นชมทัศนียภาพของชนบทที่งดงามเท่านั้น หากยังเป็นโอกาสพิเศษในการเรียนรู้ว่าการอพยพของผู้คนในอดีต ไม่ได้หมายถึงเพียงการย้ายถิ่นฐาน แต่คือการพกพา “รากเหง้า” มาปลูกไว้ในแผ่นดินใหม่ และปล่อยให้มันเบ่งบานเป็นอัตลักษณ์ที่งดงาม


เรียบเรียงข้อมูลจาก ดร.วิศัลย์ โฏฆษิตานนท์ ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดเพชรบูรณ์

เรียบเรียงโดย วิริทธิ์พล หิรัญรัตน์


27 เมษายน 2568

"เพชรบูรณ์เปิดเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ เชื่อมโยงเมืองมรดกโลกศรีเทพ หนุนท่องเที่ยวชุมชน-เกษตรสร้างสรรค์"


ระหว่างวันที่ 24-26 เมษายน 2568 จังหวัดเพชรบูรณ์ สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเพชรบูรณ์ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเพชรบูรณ์ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ จัดกิจกรรมพิเศษ “ทดสอบเส้นทางและสร้างการรับรู้เส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงเมืองมรดกโลกศรีเทพ” เชิญผู้ประกอบการท่องเที่ยว อินฟลูเอนเซอร์สายท่องเที่ยว-อาหาร-สายมู รวมถึงสื่อมวลชนจากหลายสำนัก เข้าร่วมทริปสำรวจเส้นทางตลอด 3 วัน 2 คืน เพื่อสัมผัสมนต์เสน่ห์ของเมืองโบราณศรีเทพและชุมชนโดยรอบ

กิจกรรมครั้งนี้นอกจากจะพาเยี่ยมชมอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ เลือกซื้อของที่ระลึกในชุมชน และสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามวัดต่าง ๆ เช่นวัดโพธิ์ทอง วัดบึงศรีเทพรัตนาราม แล้ว ยังพาไปสัมผัสเสน่ห์ของเกษตรเชิงท่องเที่ยวที่กำลังมาแรงอีกด้วย ซึ่งหนึ่งในไฮไลต์ของทริปนี้ ได้แก่ การเยือน “สวนเมล่อน ซันโซทรีส์” ฟาร์มเมล่อนคุณภาพที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางธรรมชาติของอำเภอศรีเทพ ที่สวนซันโซทรีส์ปลูกเมล่อนกว่า 3 สายพันธุ์ ทั้งซูบาริคิง กาเลีย และฟูจิซาว่า พร้อมเปิดให้ทดลองทำกิจกรรมภายในสวน เช่น DIY แกะสลักเมล่อน และชิมเมนูสดชื่นอย่างเมล่อนปั่นและไอศกรีมเมล่อนสูตรพิเศษที่ทำจากผลผลิตสด ๆ ของสวนเอง

ถัดจากสวนเมล่อน นักท่องเที่ยวยังได้ไปเยือน บุญชูฟาร์ม ฟาร์มโคนมขนาดใหญ่ของพื้นที่ ที่เปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวให้เข้าร่วมกิจกรรมฟาร์มสุดสนุก ตั้งแต่การให้อาหารลูกวัว สาธิตการรีดนมสด ไปจนถึงเรียนรู้ขั้นตอนการแปรรูปนมแบบโฮมเมด ไฮไลต์ของที่นี่คือการได้ลองชิมนมสดรสชาติเข้มข้น สดใหม่จากฟาร์ม ที่ทำให้หลายคนติดใจแบบแก้วเดียวไม่พอ

ต่อด้วยการเยือน ไร่มีสุขฟาร์ม จุดเช็กอินสุดฮิตอีกแห่งในศรีเทพ ที่เน้นกิจกรรมเกษตรแนวสร้างสรรค์ให้นักท่องเที่ยวได้ลงมือทำจริง เช่น การทำพิซซ่าโฮมเมดจากเตาดินเผา และกิจกรรมสุดฮิป "DIY กระเป๋าจากสีธรรมชาติ (Eco-print)" ที่ใช้ใบไม้และสีธรรมชาติจากพืชในท้องถิ่นมาย้อมผ้าด้วยเทคนิคพิเศษ ทั้งสนุกและได้ของที่ระลึกติดไม้ติดมือกลับบ้าน บรรยากาศที่ไร่มีสุขอบอวลไปด้วยความอบอุ่นและเสียงหัวเราะ เหมาะกับทุกเพศทุกวัย ใครที่อยากสัมผัสความเรียบง่ายของวิถีเกษตร พร้อมกิจกรรมสุดสร้างสรรค์ที่หาไม่ได้ง่าย ๆ ต้องห้ามพลาดที่นี่

นอกจากนี้ผู้ร่วมทริปได้เข้าร่วมรับฟังการแถลงข่าวงาน แสงแห่งศรัทธา วิสาขปุรณมีบูชา ณ เมืองโบราณศรีเทพ" ภายใต้โครงการส่งเสริมกิจกรรมเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว ศรีเทพเมืองมรดกโลก ในระหว่างวันที่ 9 - 11 พฤษภาคม 2568 มีวัตถุประสงค์เพื่อประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการท่องเที่ยวของพื้นที่เมืองมรดกโลกศรีเทพให้เป็นที่รู้จักอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีและแพร่หลาย และเป็นการส่งเสริมให้มีการจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวด้านวัฒนธรรม ประเพณี เป็นการสร้างกิจกรรมในแหล่งท่องเที่ยวมรดกโลกอย่างต่อเนื่อง รวมถึงส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการจัดงาน

โดยกิจกรรมที่สำคัญภายในงาน ประกอบด้วย การแสดงแสง สี เสียง สุดอลังการ ถ่ายทอดเรื่องราวตำนานศรีเทพผ่านเทคนิคแสงเลเซอร์สุดล้ำ บริเวณเขาคลังนอก อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ ซึ่งมีการแสดงทุกวัน วันละ 2 รอบ ในเวลา 19.45 - 20.00 . และ เวลา 20.45 . – 21.00 . กิจกรรมเวียนเทียน 999 ย่าง สร้างบุญบารมี พิธีเวียนเทียน "ทักษิณาวรรต รอบสถูปพันปี มหาเจดีย์เขาคลังนอก" นักท่องเที่ยวสามารถเวียนเทียนรอบเขาคลังนอก ได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 16.00 . เป็นต้นไป โดยจะมีพิธีเปิด และพิธีสงฆ์ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 ซึ่งเป็นวันวิสาขบูชา นอกจากนี้ ภายในงานยังมีตลาดย้อนยุคลุ่มน้ำป่าสัก (ตลาดแลกเบี้ย) ตลาดวัฒนธรรมย้อนยุค ตลาดเส้นทางสายศรัทธา (ตลาดสายมู) ซึ่งตลาดต่างๆ จะเป็นการรวบรวมของดี ของขวัญ ของฝาก อาหารพื้นถิ่น โดยเน้นของอำเภอศรีเทพ และพื้นที่ใกล้เคียง และยังมีการแสดงวงออร์เคสตรา จากมหาวิทยาลัยนเรศวร ให้ได้รับชมในวันที่ 9 และ 10 พฤษภาคม วันละ 2 รอบ เวลา 18.00 - 19.45 . และ เวลา 20.00 – 20.45 . อีกด้วย พร้อมสุดประทับใจ ดนตรีลูกทุ่ง L.K.P. ลูกพ่อขุนผาเมืองแบนด์จากโรงเรียนหล่มเก่าพิทยาคมวงดนตรีเยาวชนพลังบวก ที่เคยสร้างชื่อจากเวที ชิงช้าสวรรค์ พร้อมปลุกจิตวิญญาณเพลงลูกทุ่งให้สะท้านทั่วผืนแผ่นดินประวัติศาสตร์

ตลอด 3 วัน 2 คืนของกิจกรรมทดสอบเส้นทางในครั้งนี้ ถือเป็นการเปิดมุมมองใหม่ ๆ ของการท่องเที่ยวเพชรบูรณ์ ที่ไม่ได้มีแค่ภูเขา สายหมอกหรือธรรมชาติที่เขียวขจี แต่ยังเต็มไปด้วยวิถีชุมชน อารยธรรมโบราณ และเสน่ห์ของเกษตรอินทรีย์ที่รอให้นักท่องเที่ยวทุกคนมาสัมผัสด้วยตัวเอง หากใครมีโอกาสแวะมาเพชรบูรณ์ อย่าลืมทริป เส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงเมืองมรดกโลกศรีเทพที่นอกจากเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่ยาวนานนับพันปีแล้วยังมีสีสันจากการท่องเที่ยววิถีเกษตรที่สามารถเก็บเกี่ยวทั้งความสุขและแรงบันดาลใจดี ๆ กลับบ้านไปอีกด้วย

วิริทธิ์พล หิรัญรัตน์/รายงาน

ข่าวเด่น

เปิดประสบการณ์เหนือจินตนาการ ขับเคลื่อนความทรงจำ คาราวานตามรอยตำนาน 17 จังหวัดภาคเหนือ

กลางเดือนมิถุนายน 2568 ท่ามกลางม่านฝนบางเบาที่โปรยปรายเหนือผืนแผ่นดินล้านนา เสียงเครื่องยนต์ของขบวนรถยนต์หลากหลายคันเริ่มกระหึ่มขึ้นพร้อมกัน...